Review
HEGEL H400 อินทีเกรเต็ดสตรีมมิ่งไฮเอนด์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2025

HEGEL H400 อินทีเกรเต็ดสตรีมมิ่งไฮเอนด์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2025        ผลิตภัณฑ์จากนอรเวย์ แบรนด์ HEGEL ได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 1988 ที่มหาวิทยาลัยเทคนิคในเมืองทรอนด์เฮม ประเทศนอร์เวย์ ปัจจุบัน HEGEL เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในตลาดเครื่องเสียงไฮไฟระดับสูง         ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจำหน่าย ได้แก่ อินทีเกรเต็ดแอมป์  ปรีแอมป์ และเพาเวอร์แอมป์ รวมถึง DAC ที่ล้ำสมัยที่สุด โดยมีตัวแทนและผลิตภัณฑ์ของบริษัท HEGEL จำหน่ายทั่วโลก ได้รับรางวัลและบทวิจารณ์ที่ดีจากสื่อต่างๆ เป็นเครื่องพิสูจน์ตัวเองอย่างมากมาย      H400 เป็นอินทีเกรเต็ดแอมปลิไฟร์ที่มีภาคขยาย Class AB ซึ่งให้พลังงานล้นเหลือ 250 วัตต์ 8 โอห์ม และมีความสามารถขับโหลดที่เสถียรจนถึง 2 โอห์ม ด้วยความน่าทึ่งนี้ H400 จึงมีสมรรถนะในการควบคุมลําโพง ทั้งแม่นยําและค่าไดนามิกเร้นจ์อย่างสุดยอด        ด้วยโครงสร้างโมโนบล็อกคู่บนแท่นเดียวกันของ H400 และวงจรเแบบสมมาตร ทําให้มั่นใจได้ถึงคุณภาพการแยกแยะทุกรายละเอียดเสียงที่เหนือกว่าแอมปลิไฟร์ธรรมดาทั่วๆ ไป     ในขณะที่เทคโนโลยี SoundEngine 2 ของ HEGEL ให้การแก้ไขความผิดเพี้ยนได้อย่างฉับพลันทันทีระหว่างการขยายสัญญาณ ส่งผลให้ได้มาซึ่งเสียงที่เต็มไปด้วยละเอียดและฉับไว มอบทั้งพลังหนักแน่น รายละเอียดเสียงที่ละเมียดละไม และความเที่ยงตรงระดับมอนิเตอร์ในทุกความถี่เสียง      การออกแบบ H400 ยังคำนึงถึงการประหยัดพลังงาน โดยใช้พลังงานน้อยที่สุด ในขณะที่ให้ประสิทธิภาพระดับสูงสุด ด้วยเทคโนโลยีเฉพาะตัวดังกล่าวนี้       และคุณสมบัติสแตนด์บายอัตโนมัติของเครื่องขยาย ช่วยลดความสิ้นเปลืองพลังงานได้เป็นอย่างดี คือเมื่อเราเปิดทิ้งไว้ แล้วเครื่องไม่ได้รับสัญญาณขยายเป็นระยะเวลาหนึ่ง ระบบก็จะกลับไปสู่โหมดStandby ซึ่งจะช่วยลดการสูญเสียพลังงานและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยไม่กระทบต่อคุณภาพเสียง      แม้จะเป็นแอมป์ที่มีภาพขยายพลังสูงมากถึง 250 วัตต์ ต่อช่องเสียง แต่วิศวกรผู้ออกแบบ คํานึงถึงความเรียบง่ายและการใช้งานที่ใช้งานที่สะดวก ดังนั้น H400 จะมีรูปทรง และด้านหน้าดิสเพลย์ที่เพรียวบางแต่แข็งแกร่ง พร้อมลูกบิดอเนกประสงค์สองปุ่มสําหรับการเลือกแหล่งโปรแกรม และการควบคุมระดับเสียง รวมถึงยังสามารถกดปุ่มเพื่อปิดเสียง หยุดชั่วคราว หรือนําทางเมนูอุปกรณ์ได้อีกด้วย       จอแสดงผลดิสเพลย์กลางเครื่อง มีความชัดเจน และอ่านง่ายจากระยะไกล แสดงเฉพาะข้อมูลที่จําเป็นเท่านั้น เพื่อรักษารูปลักษณ์ที่สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย       ความแปลกแตกต่างคือ มีสวิตช์ปุ่มเปิดปิดอยู่ใต้เครื่องขยายเสียงด้านหน้า เป็นดีไซน์ที่สุขุมรอบคอบ ออกแบบที่โดยคำนึงถึงการใช้งานจริงนี้ทําให้มั่นใจได้ว่าไม่มีอะไรมารบกวนความสวยงามของการตั้งค่าเสียงต่างๆ ขณะใช้งาน            H400 นําเสนออินพุตแบบอนาล็อกและดิจิตอลอย่างครอบคลุม ทําให้มั่นใจได้ถึงความเข้ากันได้อย่างราบรื่นกับแหล่งเสียงต่างๆ พลังขยายที่เหนือชั้น ให้ทั้งรายละเอียด และการควบคุมที่น่าประทับใจ หมายความว่าคุณสามารถเชื่อมต่อลําโพงใดก็ได้ แม้แต่ลําโพงที่ขับยากมากๆ       ด้วยการตรวจจับสัญญาณอัตโนมัติ H400 จะจดจําแหล่งสัญญาณเสียงดิจิตอลที่เชื่อมต่ออยู่ทันทีและเปลี่ยนเป็นอินพุตที่ถูกต้อง ทําให้ไม่จําเป็นต้องเลือกด้วยตนเอง อินพุตทั้งหมดสามารถตั้งค่าที่ระดับเสียงสูงคงที่ ทําให้สามารถใช้เชื่อมต่ออุปกรณ์หลายห้องได้       ยังมีฟังก์ชั่นรีโมตทีวี ที่ให้คุณใช้รีโมตทีวีเพื่อควบคุมเครื่องขยายเสียงได้อีกต่างหาก มีผลต่อการตั้งค่าความบันเทิงในบ้านของคุณให้ใช้งานง่ายขึ้น       ด้านเน็ตเวิร์ก H400 ได้รับการปรับให้เหมาะสมเพื่อความคล่องตัว โดยรองรับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งยอดนิยม เช่น AirPlay, Spotify Connect, Roon Ready, Tidal Connect, Google Cast และ UPnP ผู้ใช้สามารถควบคุมเครื่องขยายเสียงผ่านบริการเหล่านี้ได้โดยตรง          นอกจากนี้ แอป Hegel Control ยังให้การควบคุมระดับเสียง อินพุต และการเข้าถึงวิทยุอินเทอร์เน็ต พอดคาสต์ รวมถึงเซิร์ฟเวอร์ด้านสื่อ ช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งานโดยรวม ไม่ว่าคุณจะสตรีมเพลย์ลิสต์โปรดของคุณ หรือสํารวจพอดคาสต์ใหม่ H400 นั้นจะทําให้ง่ายและสนุก     H400 รองรับเสียงหลายห้องผ่าน Roon, AirPlay และ Google Cast ทําให้สามารถเล่นเพลงแบบซิงโครไนซ์ในพื้นที่ต่างๆ ในบ้านได้อย่างคล่องตัว ลองนึกภาพการมีเสียงคุณภาพสูงแบบเดียวกันในทุกห้อง ที่หลอมรวมเข้ากับระบบบ้านอัจฉริยะได้อย่างราบรื่น         ภาค DAC ในตัวเอง ระบบ Bit-Perfect DAC ที่ยึดพื้นฐานมาจากรุ่น H600 ที่ใช้ Bit-Perfect DAC เพื่อให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุด หลายคนอาจจะอยากทราบว่า ใช้ชิปเซ็ตพื้นฐานของอะไรมาขยายขอบเขตการทำงานในวงจร     ซึ่งตามปกติภาค DAC ของ HEGEL จะใช้ของ AKM       อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญของชิปสำเร็จรูป เป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งของวงจรส่วนร่วมในการดีไซน์ทางภาคดิจิตอลอื่นๆ ที่สำคัญ รวมทั้งภาคจ่ายไฟอิสระ ที่ถูกออกแบบเฉพาะวงจรของ DAC อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ในชื่อ Bit-Perfect DAC     ตัวเครื่องมาพร้อมรีโมตคอนโทรลขนาดย่อม พร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานครบถ้วน    HEGEL H400 ได้รับรางวัล เครื่องขยายเสียงสตรีมมิ่งพรีเมียม EISA 2024 - 2025 เป็นการันตี ที่มั่นใจได้ในความเชื่อมั่นผลิตภัณฑ์ในระดับสากล       ผลการทดสอบใช้งาน      หลักๆ แล้วผมจะเล่นเพลงสองรูปแบบด้วยกันคือ แผ่นซีดี และใช้ภาค DAC ในตัว H400 เนื่องจากระบบของเครื่องไม่มีภาคปรีโฟโนสำหรับแผ่นเสียง แต่สนองตอบภาคไลน์ อินพุต - ดิจิตอลอินพุต หลายช่องต่อ (ส่วนตัวผมจะใช้ช่องต่อ Coaxial) และการเชื่อมต่อ Ehernet LAN เพื่อการสตรีมมิ่ง        ขอกล่าวถึงการใช้งานภาคสตรีมมิ่งก่อนนะครับ     ผมเริ่มเล่นระบบเน็ตเวิร์กในเครื่อง HEGEL H400 โดยดาวน์โหลด แอปพลิเคชั่น Hegel Control จากแอพสโตร์มาใช้ในไอโฟน 15 Pro Max เพื่อเชื่อมระบบสั่งงานระบบปฏิบัติการของเครื่อง H400        แค่เปิดแอปในมือถือ ก็เชื่อมต่อกันกับตัวเครื่อง H400 อัตโนมัติฉับไว สนองตอบได้ดี เหมือนแค่พริบตาเดียวเท่านั้น ก็ไม่มีอะไรให้ต้องรอ หรือเสียเวลาเซ็ตอัพใดๆ      จริงอยู่ว่า จอดิสเพลย์ H400 ไม่มีการแสดงผล ปกอัลบั้มเพลงสวยๆ (ต้องดูจากหน้าจอมือถือ หรือ แท็บเล็ตแทน) แต่ก็มีผลด้านคุณภาพในการทำงานที่ต้องยอมรับ แบบว่าคุณภาพเนื้อๆ กันไปเลย      ส่วนตัวผมชอบเลือกเล่นวิทยุอินเทอร์เน็ตก่อน เพราะท่องดนตรีทุกรูปแบบไปได้อย่างมีอิสระเสรีรอบโลกใบนี้ อย่างไร้ขีดจำกัด!!!        ฟังข่าวสาร ฟังดนตรี เพลงหลากรสชาติแบบอิ่ม แน่น ละมุนละไม และโอ่อ่า ทรงพลังเลยทีเดียว และที่แน่ๆ ช่วงฟังเพลงที่จริงจังจะยืนพื้นที่การเชื่อมต่อ TIDAL ทำให้เราฟังเพลงที่ชอบเพลิดเพลินทั้งคุณภาพดุจเดียวกับซีดี หรือไฮเรสออดิโอ      วิทยุอินเตอร์เน็ต ส่วนมากผมจะชื่นชอบสถานี BBC2 เป็นพิเศษ วันไหนไม่รีบร้อนอะไร ก็จะนั่งฟังแต่เช้ายันค่ำ มีเพลงดีๆ ให้ฟังมากมาย         ในประสบการณ์เล่นแอมป์ Streaming ผมเริ่มจับทางบางประการได้ว่า หากเราค่อยๆ ไต่ระดับ เล่นเครื่องสตรีมเมอร์แอมป์มาเรื่อยๆ และพบเครื่องที่มีคุณภาพสูงจริงๆ แล้วละก็ คุณจะได้เห็นความแตกต่างของเครื่องสตรีมเมอร์ระดับไฮเอนด์ ที่มีระดับคุณภาพและราคาสูงกว่าเครื่องทั่วๆ ไปได้ไม่ยากครับ       ความมีคุณภาพสูงของเครื่องตรงไหน จะแสดงออกให้เราจับสังเกตง่ายที่สุด?      นั่นคือ การแยกแยะ และการแสดงบุคลิกแนวทางของเพลงต่างอัลบั้ม ต่างสตูดิโอที่บันทึกเสียงอันหลากหลายนั้น จะต้องมีรสชาติที่ต่างกันไปตามต้นทางหรือสตูดิโอที่มาครับ        คือจะไม่ให้เสียงเรื่อยๆ มาเรียงๆ แบบว่าฟังเพลงสไตล์ไหน ค่ายใด บุคลิกเสียงก็เหมือนกันเสียทุกค่าย ทุกอัลบั้ม      แหละนี่คือจุดชี้ว่า เราเล่นสตรีมมิ่งมาถึงระดับไหนครับ     HEGEL H400 แม้จะมีราคาสูงเมื่อเปรียบเทียบแอมป์สตรีมมิ่งอื่นๆ อยู่บ้าง แต่เครื่องรุ่นนี้ ระดับนี้ จะนำพาคุณสัมผัสการเรียนรู้ธรรมชาติเสียงดนตรีอย่างชัดแจ้ง        เข้าถึงความสมจริง ความแตกต่างในคาแรกเตอร์ ของการบันทึกเสียงเพลง จากแต่ละค่ายเพลง ได้เป็นอย่างดี        นี่คงเป็นการพิสูจน์ว่า การได้รับรางวัล Best Product EISA AWARD 2024-2025 ย่อมมีคุณภาพครบถ้วนในมาตรฐานสูงสุดจริงๆ     ในส่วนการใช้งานอินพุตจากภาคไลน์ ผมใช้เครื่องเล่น SACD ต่อใช้งานสลับกันระหว่างเสียงที่ได้จากแผ่น CD-SACD ทางช่องไลน์อินพุต และเลือกช่อง Coaxial เพื่อการทดสอบภาค DAC ของH400 เปรียบเทียบกันไปด้วยในตัว     • ภาค DAC ของ H400 มีจุดเด่นที่ความปลอดโปร่ง ความสะอาดของเสียง สามารถสนองตอบ ดิจิตอลออดิโอได้ครบถ้วนมาก รวมถึงถอดรหัสของเพลงสตรีมมิ่ง อาทิ 24/192, DSD64 (DoP), เล่นแผ่น MQA หรือฟังสตรีมมิ่งจาก TIDAL จะเห็นผลด้านรายละเอียดเสียงที่ระยิบระยับในทุกรายละเอียด ส่วนทางช่องออพติคัลก็ให้การถอดรหัสเท่าเทียม Coaxial ครับ     กรณีนำไฟล์เพลงไฮเรสจากสตอเรจฮาร์ดดิสก์ หรือNAS เพลงที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์มาต่อเล่นทาง USB จะตอบสนอง ไฟล์เพลงได้สูงถึง 32/384, DSD256 (DoP) เรียกว่าเก็บได้ทุกรายละเอียด ที่ทางHEGEL H400 มีรองรับครบเครื่องจริงๆ      ดังที่กล่าวไว้เสมอว่า ตัวผมมักจะเล่นเพลงจาก TIDAL เป็นหลัก ในไฟล์ที่สตรีมจากผู้ให้บริการรายนี้ คิดว่ามันดีเยี่ยมพอเพียงกับความเป็น High-Fidelity โดยเฉพาะเมื่อฟังเพลงที่รายละเอียดระดับสูงสุด (MAX) รวมทั้ง MQA ทำให้เราเข้าถึงเบื้องลึกดนตรีไฮเรส ที่มีรายละเอียดมากกว่าฟังแผ่นซีดี ในหลายๆ อัลบั้ม     ด้วยคุณสมบัติของเครื่อง HEGEL H400 นั้น สนองตอบได้อย่างดีงามและคุ้มค่าที่สุด คือถ้าเราดูจากคุณค่า ที่แยกออกเป็นสามองค์ประกอบหลัก จะเห็นภาพได้ชัดว่า H400 เป็นสตรีมมิ่งแอมป์ ที่เกินคำว่าคุ้มค่าจริงๆ     - ภาคขยายดูอัลโมโน 250วัตต์ต่อแชนแนล ที่ขับลำโพงทุกคู่ได้อย่างหมดจด  - ภาค DAC ที่เสียงสะอาดมากๆ จนแทบนึกไม่ออกว่าเคยฟัง DAC ในแอมป์รุ่นไหนที่จะให้เสียงได้ดีเยี่ยมขนาดนี้มาก่อน - ภาคเน็ตเวิร์กสตรีมมิ่งที่คล่องตัว แม่นยำ เสียงอิ่มเอม สนองตอบการใข้งานอย่างกว้างขวาง กระทั่งผมเองยังใช้งานได้ไม่หมดด้วยซ้ำ        บทสรุป      1. เชื่อมต่อระบบเน็ตเวิร์กได้อย่างง่ายดาย ยอดเยี่ยม ไม่ต้องไปเสียเวลาเซ็ตอัพอะไรทั้งสิ้น ทำให้เราเข้าถึงวิทยุอินเทอร์เน็ตและพอดแคสต์ได้ทันที และผ่าน UPnP ไปยัง NAS ทั้งมีปุ่มสำหรับควบคุม Apple AirPlay และ Google Chromecast ปุ่ม "Spotify" จะนำเราไปที่หน้าจอข้อความพร้อมคำแนะนำในการเลือก H400 เป็นสัญญลักษณ์รูป "ลำโพง" ในแอป Spotify แล้วเปิดใช้งาน Spotify Connect รวมถึงเปิดการเชื่อมต่อแอป TIDAL ง่ายดุจพลิกฝ่ามือ       ในฐานะสตรีมเมอร์นับว่า ทำงานได้เป็นเลิศ คุ้มค่าทุกวินาทีที่ใช้งาน ให้ความใกล้เคียงรุ่นใหญ่อย่าง H600 ในหลายส่วนเลยทีเดียว 2. ภาคขยายคลาส AB ที่มีเทคโนโลยี SoundEngine 2 ให้พลังและรายละเอียดที่เป็นเสียงธรรมชาติ และสามารถรับอัตราการพีคแรงๆ ของดนตรีได้อย่างไร้ความผิดเพี้ยน ผมชอบบุคลิกที่อิ่มละมุนและพร้อมจะส่งผ่านไดนามิคเร้นจ์ จากแผ่วเบาถึงอัตราสะวิงของเสียงที่สูงสุด อย่างแม่นยำ      ในฐานะภาคขยาย จะให้ทุกรายละเอียดครบถ้วน แม้แต่ปลายเสียงแหลมสุด จนถึงช่วงเสียงต่ำลึก เอาเป็นว่า ถ้าลำโพงคุณดีพอ จะได้ยินเสียงเบสอย่างอิ่ม หนักแน่นมีคุณภาพครบถ้วนโดยไม่ต้องพึ่งพาซับวูฟเฟอร์    อีกทั้งเป็นภาคขยายที่มีแบนด์วิธกว้างมากๆ อย่างเหลือเชื่อเลยทีเดียว       จากประสบการณ์ของผม ภาคขยาย HEGEL H400 อาจจะสมบูรณ์แบบกว่า ปรี-เพาเวอร์หลายชุดเลยครับ       แค่ภาคขยายเสียงอันยอดเยี่ยม ก็ทำให้เราเข้าถึงเพลงทุกสไตล์ได้อย่างไม่มีขีดจำกัดนี้ ก็ถือว่าคุ้มราคาแล้วละครับ 3. ในการฟังทั้งสตรีมมิ่ง และจากช่องไลน์อินจากแผ่น CD-SACD ให้คุณภาพเสียงที่เต็มไปด้วยรายละเอียดความสมูทนิ่มนวลต่อเนื่อง ผมชอบตรงที่ว่า จะไม่มีขีดจำกัดในเรื่องของสไตล์เพลง ให้โทนเสียงช่วงมิดเร้นจ์ เสียงความถี่กลางมีเสน่ห์ ไหลลื่น    ไม่ต้องถามว่าเหมาะสมที่จะฟังเพลงประเภทใดเพราะทุกสิ่งที่คุณอยากฟัง คุณจะได้ฟังเต็มอิ่ม       คือเราสามารถฟังตั้งแต่ ไลท์มิวสิก คันทรี พ็อพ แจ๊ส ไปจนถึงคลาสสิก ให้เสียงที่เปิดกว้างแต่ก็สะอาดและนิ่มนวล เต็มไปด้วยรายละเอียดที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะเพลงร้องทำให้เราหลงใหลเสียงหวานๆ จากศิลปิน ใน HEGEL H400 อย่างง่ายดายเลยทีเดียว สำหรับการต่อแหล่งโปรแกรมภายนอก จุดที่เด่นอย่างมากก็คือการใช้ DAC ของ H400 เพราะรายละเอียดที่สมบูรณ์แบบของภาคแปลงรหัสดิจิตอล มาสู่อนาล็อก นับว่าทำได้ดีงาม ในทุกๆ รายละเอียดเสียง       เป็นภาค DAC ที่ให้ฮาร์โมนิคเสียงอิ่มฉ่ำจริงๆ ครับ ตรงนี้เองที่ยิ่งทำให้ H400 เกินคำว่า “คุ้มค่า” อย่างมากที่สุด เป็นภาค DAC ที่ทำให้เราลืมความเป็นดิจิตอลหรืออนาล็อกไปได้เลย 4. คุณสมบัติด้านบุคลิกเสียง ศักยภาพเสียงเต็มไปด้วยรายละเอียด มีความเที่ยงตรง ละเมียดละไมสูงมาก ในทุกระดับความดัง สลับลำโพงมาทดลองใช้หลายคู่ ไม่มีคู่ไหนที่ HEGEL H400 จะขับไม่ออก ล้วนแต่สร้างความสมบูรณ์เต็มสเกลเสียงทั้งสิ้น     เมื่อมองจากโครงสร้างภายนอก หน้าตาดูจืดๆ ที่มีแต่ความเรียบง่าย ไม่โดดเด่นสะดุดตานี้ ทว่าภายในกลับบรรจุวงจรแน่นเอี้ยด ด้วยคุณสมบัติที่ดีเลิศของ ภาคขยายดูอัลโมโน, DAC ตัวแปลงรหัสระดับไฮเอนด์, สตรีมเมอร์ที่มีปฏิบัติการครบถ้วนที่สุด เหมือนเครื่องเสียง ทรี-อิน-วัน ที่สรรสร้างเสียงดนตรีให้เราประทับใจในคุณภาพเสียงอย่างแท้จริง      HEGEL H400 สมศักดิ์ศรีของสตรีมมิ่งแอมปลิไฟร์ รางวัล Best Product EISA AWARD 2024-2025 ที่คุณควรพิจารณาหาประสบการณ์ ก่อนตัดสินใจก้าวสู่สตรีมมิ่งแอมป์ ระดับไฮเอนด์ครับ     HEGEL H400 มีราคาต่อเครื่องอยู่ที่ 229,000.- บาท       สนใจสอบถามรายละเอียดและโปรโมชั่นได้ที่ DISCOVERY HIFI  โทร. 085 517 8292  

Furutech Origin Power NCF (R) สายไฟเอซีที่จะเปลี่ยนแปลงคุณภาพเสียงไปตลอดกาล

Furutech Origin Power NCF (R) สายไฟเอซีที่จะเปลี่ยนแปลงคุณภาพเสียงไปตลอดกาล สายไฟเอซี เป็นปฐมบทของการปรับปรุงเครื่องเสียงที่ถือว่า สมควรเปลี่ยนสำหรับเครื่องเสียงทุกประเภท ทั้งแหล่งโปรแกรม DAC หรือแอมปลิไฟร์ทั้งหลาย สายไฟระดับเครื่องเสียงไฮเอ็นด์ ของFurutech จากประเทศญี่ปุ่น มีการพัฒนามาอย่างยาวนาน เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป     Furutech มุ่งมั่นที่จะนำเสนออุปกรณ์เสียงคุณภาพสูงสุดในราคาที่เข้าถึงได้เสมอมา และซีรีส์ Origin ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ปรัชญานี้ สายไฟ Origin Power NCF (R) ประกอบด้วยตัวนำ α (Alpha) μ-OFC ของ Furutech ที่มั่นใจได้ถึงความสามารถในการนำไฟฟ้าและความบริสุทธิ์ของสัญญาณที่ดีเลิศ มอบประสบการณ์เสียงที่สมจริงและดื่มด่ำ ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้ตรงตามมาตรฐานที่เข้มงวดเพื่อนักเล่นเครื่องเสียงระดับออดิโอไฟล์ และวิศวกรเสียงมืออาชีพ     ซีรีส์ Origin Furutech ได้กำหนดความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพระดับพรีเมียมและมูลค่าใหม่ ทำให้เสียงคุณภาพสูงสามารถเข้าถึงได้มากกว่าที่เคย    โครงสร้างโดยรวมของสายไฟรุ่นนี้ ด้วยคุณลักษณะพิเศษจาก Pure Transmission และวัสดุ NCF ของ Furutech เทคโนโลยี Pure Transmission ของ Furutech ได้รับการออกแบบด้วยความเอาใจใส่พิถีพิถันในทุกแง่มุมของพลังงานและการถ่ายโอนสัญญาณ โดยแก้ไขปัญหาทั่วไป เกี่ยวกับความต้านทานการสัมผัส สถานะความเป็นแม่เหล็กไฟฟ้า EMI และความสามารถในการป้องกัน RFI ด้วยวิศวกรรมที่เหมาะสมที่สุด โดยการใช้ประโยชน์จากวัสดุที่ดีที่สุดและกระบวนการขั้นสูง Furutech จึงมอบประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมได้อย่างสม่ำเสมอ      การนำวัสดุ "NCF" อันล้ำสมัยของ Furutech มาใช้กับขั้วต่อเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรม NCF ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อต่อต้านไฟฟ้าสถิต ช่วยลดการสั่นสะเทือนและขจัดเสียงรบกวนไฟฟ้าสถิตที่ไม่ต้องการ          ผลลัพธ์ที่ได้คือเวทีเสียงที่สะอาดขึ้น แม่นยำขึ้น ปราศจากสีสัน ทำให้เสียงที่แท้จริงจากแหล่งกำเนิดเสียงเปล่งประกายออกมาอย่างน่าประทับใจ      ในด้านรายละเอียดทางเทคนิคที่พิเศษกว่าใคร คุณสมบัติหลัก เป็นสายไฟที่ออกแบบมาอย่างสวยงามด้วยตัวนำ α (Alpha) μ-OFC ใช้ฉนวนโพลีเอทิลีนพิเศษที่ทนต่อแรงดันไฟฟ้าสูงและความร้อน ให้ความจุที่ต่ำกว่าและการหน่วงเชิงกลที่ดีกว่า      มีเทคโนโลยี Ground/Earth Jumper ที่ได้รับการจดสิทธิบัตร แม้ในระหว่างการใช้งานปกติทั่วไป สายเคเบิลทั่วไปก็ยังสร้างคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ไม่ต้องการขึ้นมาได้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดการรบกวนได้      โดยคลื่นดังกล่าวจะแสดงผลเด่นชัดที่สุดในบริเวณที่สายเคเบิลงอหรือพับ ดังนั้น "Earth Jumper" ของ Furutech แก้ไขปัญหานี้ด้วยการใช้แผ่นทองแดงที่สัมผัสกับสกรูยึด ต่อกับสายดิน ทำให้ศักย์แม่เหล็กไฟฟ้ามีเสถียรภาพ         ในการดูดซับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ไม่ต้องการนี้ทำให้ระบบปรับปรุงคุณภาพเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดการสั่นสะเทือนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้อย่างมาก ส่งผลให้เสียงที่ได้มีความชัดเจนและเสถียรมากขึ้น      มีกลไกการยึดสายแบบพิเศษเพื่อให้มีหน้าสัมผัสที่แน่นหนาและส่งกำลังได้อย่างบริสุทธิ์และเสถียร รวมถึงโครงสร้างของสายที่เป็นเอกลักษณ์ช่วยให้มีหน้าสัมผัสที่แน่นหนาที่สุดเท่าที่เคยมีมาในแวดวงสายไฟเอซี       ปลอก PVC ปลอดตะกั่วที่ยืดหยุ่นเป็นพิเศษ 3 ชั้นที่เป็นไปตามมาตรฐาน RoHS ***ช่วยแยกการสั่นสะเทือนได้ดีขึ้น       สายไฟ Furutech Origin Power NCF (R) หุ้มฉนวนด้วยโพลีเอทิลีน (PE) ซึ่งช่วยลดความต้านทานที่เกิดจากความจุ ส่งผลให้มีความละเอียดของเสียงที่มากขึ้น ชัดเจนขึ้น ไดนามิกที่ทรงพลัง และเวทีเสียงที่เงียบเป็นพิเศษ      Preview  นับตั้งแต่ได้รับมาวันแรก ผมก็มานั่งวิเคราะห์ดูรูปทรงที่ขึงขังงดงาม และซ่อนคุณสมบัติชั้นยอดภายใน ตั้งแต่หัวขั้ว และท้ายขั้วสัญญาณ ไปจนถึงฉนวนห่อหุ้ม ที่ให้สัมผัสละมุน สามารถจัดให้โค้งงอไปตามช่องว่างด้านหลังเครื่องและผนังได้เป็นอย่างดี    เห็นเป็นสีขรึมๆ ขึงขัง แต่หาเจาะลึกองค์ประกอบภายใน จะพบว่าล้ำลึกมากกว่าที่เห็นมากมายนัก     • ในชั้นของตัวนำ ภายในบรรจุวัสดุตัวนำ 7 มัดจำนวน 35 เส้นแบบ α (Alpha) μ- OFC 0.18 มม. x 3 แกน -9AWG (หรือมีขนาด 6.22 sq.mm) รวมกับฉนวน โพลีเอทิลีที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5.5 มม.      • มีปลอกหุ้มหนึ่งชั้นด้านในเป็นพีวีซีป้องกันการสั่นสะเทือน ที่เป็นไปตามมาตรฐาน RoHS โดยผสมผสานกับวัสดุ NCF พิเศษ และสารประกอบอนุภาคคาร์บอนเป็นวัสดุป้องกันไฟฟ้าสถิตย์ (สีดำ) ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 13.5 มม.        • เฉพาะส่วนของ “ชีลด์ภายใน” ที่ห่อหุ้ม ก็จะมีตัวนำ α (Alpha) μ–OFC 9 x 24 เส้น 0.12 มม. ถักทอหุัมไว้และมีปลอกหุ้ม 2 ชั้น (ตรงกลาง) ซึ่งประกอบด้วยอนุภาคคาร์บอนและพีวีซี สำหรับป้องกันการสั่นสะเทือนที่เป็นไปตามมาตรฐาน RoHS (สีดำ) • ด้านเปลือกนอกสุด มีปลอกหุ้ม 3 ปลอก หุ้มด้านนอกด้วยพีวีซียืดหยุ่นที่เป็นไปตามมาตรฐาน RoHS (สีน้ำเงินมุก) มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 18.0 มม.     รูปลักษณ์ภายนอก ยังหุัมด้วยเส้นด้ายไนลอนที่เป็นไปตามมาตรฐาน RoHS ถัก ปลอกนอก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 19.0 มม.    เรียกว่าโครงสร้างอัดแน่นเทคโนโลยีเพียบเลยครับ สำหรับสายไฟเอซี ระดับไฮเอ็นด์ Furutech  Origin Power NCF (R)     ผลจากการทดสอบใช้งานเป็นอย่างไร ผมจะขอสรุปสั้นๆ เข้าใจง่าย ว่าสิ่งที่เราจะได้คือ   • พลังอัดฉีดเสียงนั้นดีขึ้นอย่างน่าทึ่งเลยทีเดียว • รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในระดับปลายเสียงที่ “หยุมหยิม ระยิบระยับ” เรียกว่าแทบไม่เคยได้ยิน ดีเทลแบบนี้จากสายไฟเอซี มาก่อนเลย • เสียงต่ำอิ่มขึ้น สมบูรณ์มากขึ้น มีการทอดยาวของเบส ให้ทั้งความกระชับ และหยุดสั่นค้างได้อย่างรวดเร็ว • ให้ความรู้สึกถึงเสียงที่เป็นธรรมชาติสมจริง ให้ความรู้สึกสะอาด แม่นยำขึ้น โดยเฉพาะช่วงมิดเร้นจ์  เสียงกลาง เสียงร้อง มีน้ำหนักยอดเยี่ยม โทนเสียงผ่อนคลาย • เวทีเสียงโอ่อ่า ความลึก-ตื้น หรือความกว้างของเวทีเสียงนั้น ให้มิติที่ดีเลิศเลยทีเดียวครับ      Furutech Origin Power NCF (R) คือสายไฟเส้นเดียว ที่สามารถเปลี่ยนและยกระดับคุณภาพเสียงอย่างชัดแจ้ง แม้จะเปลี่ยนแทนสายไฟเดิมลงไปเพียงเส้นเดียว ที่เครื่องแหล่งโปรแกรม หรือที่แอมป์ขยายเสียง ก็เห็นผลของการอิมพรูฟ ในเครื่องเสียงทั้งชุด ที่คุณจะต้องเซอร์ไพรส์ในทันที     จากผลการทดสอบ ถ้าจะต้องเลือกเปลี่ยน Origin Power NCF (R) กับจุดใดจุดหนึ่ง ขอแนะนำที่แหล่งโปรแกรมก่อนครับ มีผลลัพธ์อันชัดเจนที่สุด    ผลลัพธ์ต่อแหล่งโปรแกรม ไม่ว่าจะเป็น ซีดีเพลย์เยอร์ DAC หรือสตรีมเมอร์ มีผลมากจริงๆ หลังจากนั้นจะไปเปลี่ยนที่แอมปลิไฟร์ ในเส้นถัดไปก็ได้ครับ เนื่องจากสายรุ่นนี้ ราคาก็สูงตามคุณภาพไฮเอ็นด์ของเขานั่นละครับ      กล่าวสรุปแบบสั้นๆ ได้ว่าสายไฟเอซี Origin Power NCF (R) จาก Furutech คือ ปรากฏการณ์อัศจรรย์อย่างหนึ่งของวงการสายสัญญาณระดับออดิโอไฟล์ที่น่าตื่นเต้นประทับใจครับ Furutech Origin Power NCF (R)  ราคา 83,000.- บาท สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Clef Audio Co., Ltd. Tel: 0-2932-5981 หรือ LINE ID : @clefaudio  

ASL INT-50L สุดทางเสียงดนตรีกับแอมป์คลาส A

ASL INT-50L สุดทางเสียงดนตรีกับแอมป์คลาส A ผลงานของ Absolute Audio Labs. (ASL) เครื่องเสียงแบรนด์ไทยที่ออกแบบและผลิตแอมปลิไฟร์คลาส A ระดับยักษ์มาแล้วหลายปี ส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทแยกชิ้นปรี-เพาเวอร์ และครั้งนี้เป็นการดีไซน์อินทิเกรเต็ดแอมป์ ASL INT-50L ที่ไบอัสกระแสวงจรในแบบ คลาส A Push Pull มีกำลังขับ 50 วัตต์ต่อแชนแนล (ซึ่งจะไม่ใช่แบบ ซิงเกิ้ลเอ็นด์คลาส A)          จุดเด่นคือจะให้กำลังที่สูงกว่าแบบซิงเกิ้ลเอ็นด์ ในขณะที่ใช้กำลังไฟเท่าๆ กัน ในแง่ของการดีไซน์ มีข้อดีตรงที่สามารถแปรผันกระแสที่ไหลผ่านลำโพงเมื่ออิมพีแดนซ์ต่ำลงไปอีก ได้ราวหนึ่งเท่าตัวเลยทีเดียว!          ระบบพุชพูลคลาสเอนั้น ถ้าออกแบบวงจรได้ดี จะสามารถปรับการทำงานของสัญญาณเสียงและเฟสให้สมมาตรกันได้ อันจะส่งผลต่อ ค่าความเพี้ยนทาง THD ต่ำลงไปได้เรื่อยๆ นั่นคือการขยายเสียงที่เที่ยงตรงแม่นยำ และต่อเนื่องอย่างแท้จริง         จากข้อมูลของผู้ผลิต ระบบพุชพูล ASL INT-50L ได้ออกแบบโดยศึกษาพฤติกรรมการใช้งานของนักเล่นเครื่องเสียง ที่เมื่อคุ้นชินกับระดับเสียงที่ฟังอยู่ในทุกๆ วัน ก็อยากขยับความดังขึ้นไปอีกเล็กน้อย โดยยังคงอยากได้รายละเอียดและบรรยากาศเดิมๆ อยู่             INT-50L จะวางระบบวงจรอยู่ชุดหนึ่ง ที่เรียกว่า QUAD OPTO BIAS ทำหน้าที่ควบคุมกระแสภายในวงจรด้วยระบบแสง ถึง 4 ชุด ช่วยตรวจจับการเปลี่ยนแปลงอันฉับพลันของกระแสที่ไหลผ่านลำโพงในแต่ละเฟส แล้วนำปรับกระแสภายในวงจรให้เตรียมพร้อมที่จะขยายสัญญาณได้อย่างราบรื่นที่สุด           โดยที่วงจร Class A มีพื้นฐานการไบอัสกระแส ป้อนไฟเลี้ยงให้อุปกรณ์ทำงานอยู่ตลอดเวลา ทำให้ได้คุณภาพเสียงที่ราบรื่นต่อเนื่อง แตกต่างจากคลาสอื่น ที่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงการสะวิงของสัญญาณ ก็จะทำให้เสียงจะขาดความต่อเนื่องและแผดกร้าวได้          INT-50L เป็นพุชพูล คลาสเอ ที่มีความเพี้ยนต่ำ ในช่วงการฟังปกติ 4-5 วัตต์แรก แต่เมื่อเร่งโวลลุ่มขึ้นมาจากเดิมอีกราวๆ 10% วงจร QUAD OPTO BIAS ก็จะทำการปรับเปลี่ยนการไหลของกระแส ให้มีคุณลักษณะของ ฮาร์มอนิกส์ ลำดับที่สองเด่นขึ้นมา จนถึงช่วงกึ่งหนึ่งของอัตราขยาย จึงกลับเข้ามาสู่โหมดความเพี้ยนต่ำอีกที ตรงนี้จะมีผลต่อคุณภาพเสียงที่ดีอย่างต่อเนื่อง           INT-50L ยังทำงานแบบ CFA (Current Feedback Amplifier) ที่มีความแม่นยำในการจัดการเรื่องเฟสเสียง ไม่ให้เลื่อนค่าเฟสไปเมื่อต้องใช้งานกับลำโพงที่มีวงจรครอสโอเวอร์อันซับซ้อนอีกด้วย           INT-50L ใช้อุปกรณ์ภายในที่ค่อนข้างพิเศษ เช่น เจเฟท และ มอส เฟ็ต จาก TOSHIBA และทรานซิสเตอร์จาก FAIRCHILDS ที่เป็นระดับหายากเป็นพิเศษไปแล้วในปัจจุบันนี้ และภาคเอาต์พุตยังใช้มอสเฟ็ต โมดูล ขนาดใหญ่กว่าอุปกรณ์ทั่วๆ ไป ถึง 4 เท่า!!!            มีการคัดเลือกเกรดอุปกรณ์แต่ละชิ้นอย่างพิถีพิถัน โดยใช้เครื่องวัดกราฟการทำงานของอุปกรณ์ (curve tracer) ชนิดพิเศษ ที่จะมีข้อมูลของอุปกรณ์แต่ละตัว ที่มีคุณสมบัติตรงตามซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการจำลองการทำงาน ไว้เป็นมาตรฐานการวัด           จุดที่ผมคิดว่า มีผลดีต่อการใช้งานจริงมากที่สุด คือมีการออกแบบให้ระดับโวลุ่มแปรผันไปในลักษณะการใช้งานจริง โดยย่านการทำงานในช่วง 25 วัตต์แรก ตั้งแต่โวลลุ่ม 0 ถึง 30 จะค่อยๆ เพิ่มความดังในสเต็ป ละนิด ผู้ที่นิยมลำโพงยุควินเทจจึงสามารถนำมาใช้กับลำโพงฟูลเร้นจ์ หรือ ฮอร์น ความไวสูงระดับ 94-105dB ได้เป็นอย่างดี            และเมื่อเข้าสู่ตำแหน่งโวลลุ่มที่ 31 ถึง 50 ก็จะทวีความดังขึ้นมาอีกครึ่งหนึ่ง เพื่อให้เหมาะสมกับลำโพงความปานกลาง 87-92dB  และสุดท้ายระดับโวลลุ่มที่ 50 ถึง 75 ความไวของอัตราขยายก็จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากวงจรอัพกระแสสำรอง เพื่อให้เหมาะสมกับลำโพงยุคปัจจุบัน ที่มีความไวต่ำ 82-85dB         จัดว่าออกแบบไปตามพฤติกรรมการใช้งานจริง ของออดิโอไฟล์           ทุกท่านจะสามารถสัมผัสได้จากการทำงานอย่างราบรื่นขณะใช้งานขยายในวงจร           ตามข้อมูลของผู้ผลิต ในเทคนิคเชิงโครงสร้างนั้น ได้มีการให้รายละเอียดไว้ดังต่อไปนี้ 1. ขั้ว RCA อินพุตต่อตรง “ลัดสั้น” เข้าภาคควบคุมโวลลุ่ม และปรีแอมป์โดยตรง ลดทอนการสูญเสียสัญญาณ และสัญญาณรบกวนได้เป็นอย่างดี 2. ออกแบบการวางแผงวงจรแบบสมมาตร ทั้ง ซ้าย-ขวา รวมถึงเฟสบวก และลบของสัญญาณ 3. ใช้ตัวเก็บประจุขนาดรวม 120,000 ไมโครฟารัด ถือว่ามากที่สุดในอินทิเกรทแอมป์กำลังขับเท่าๆ กัน 4. ไดโอด เร็กติฟายเออร์ ใช้แบบตัวถัง SOT-227 ขนาด 80 แอมแปร์ ซึ่งจะพบเจอได้ในเพาเวอร์แอมป์ชั้นนำเท่านั้น 5. การจ่ายกระแสไฟให้อุปกรณ์มอสเฟ็ตเอาต์พุต ชนิดพิเศษ ใช้ระบบฮาร์ดวายริ่ง เพื่อการส่งผ่านกระแสไฟสูงสุด สามารถรองรับเอาต์พุต ขับโหลดได้ต่ำสุดถึง 2 โอห์ม 6. ตัวถังอลูมินั่มทั้งชิ้น ยึดด้วยน็อตอลูมินั่มรอบตัวถัง และใช้น็อตไทเทเนี่ยมชุบทองด้านหน้า 7. หน้าปัดแสดง ช่องสัญญาณอินพุต และตัวเลขโวลุ่มขนาดใหญ่ มองเห็นชัดเจน ซึ่งจะลดแสงลงเมื่อเราคอนโทรลเรียบร้อยแล้ว         อุปกรณ์มอสเฟ็ตเอาต์พุต ใช้ระบบฮาร์ดวายริ่ง เพื่อรองรับกระแสขนาดใหญ่           มีระบบ AC NOISE FILTER และ RECTIFIER DIODE ขนาดใหญ่ ที่มีระบบป้องกันกราวนด์ลูป (GROUND LOOP ELIMINATE) ในตัว ส่วนหม้อแปลงชนิดเทอรอยดัล ขนาดถึง 450VA ฮีทซิ้งค์ระบายความร้อนจัดวางตำแหน่งทั้งสองด้านซ้ายขวาของตัวถังดูขึงขังมาก     Test Report การทดสอบของผมคือ อยู่ในแง่ของการใช้งานจริง โดยใช้เวลาถึงสองสัปดาห์เต็ม จึงมีบทสรุป ASL INT-50L แอมปลิไฟร์ระบบคลาส A ดังต่อไปนี้ 1. ตัวถังมีโครงสร้างบึกบึนแข็งแรง อาจกล่าวได้ว่า แอมป์ระดับราคานี้ แทบไม่พบคุณสมบัติเท่าเทียม ASL INT-50L ฮีทซิ้งค์มีรูปทรงที่ลงตัว ระบายความร้อนได้ดี โครงสร้างนี้มีผลต่อการป้องกันการรบกวนจาก Noise ได้ครบถ้วน           และโดยรอบๆ ตัวถัง โครงสร้างเครื่องจะไม่มีส่วนมุมคมบาดมือ การเลเซอร์เจาะตราโลโก้ -รุ่น บนเพลทหน้าปัด ถือว่าผลงานมาตรฐาน ในเชิงโครงสร้างทำได้ประณีตมากเลยครับ   2. หน้าปัด ที่มีดิสเพลย์กลางเครื่องแม้ส่วนตัวผมคิดว่าไม่มีความจำเป็น แต่ในความเป็นจริง เมื่อใช้งาน จะให้ความสะดวกในการแจ้งระดับความดังเป็นตัวเลขขนาดใหญ่ คอนโทรลได้จากปุ่มโวลุ่มและซีเลคเตอร์ หรือรีโมตคอนโทรล           และในช่วง 2-3 วินาที ไฟที่สว่างนัันก็จะลดแสง หรือ “ดิม” ลงไป ไม่ให้เป็นจุดสะดุดต่อสายตาแต่อย่างใด 3. บุคลิกเสียงติดมาทางหวานฉ่ำละมุนที่ปลายเสียงจะคล้ายเสียงเครื่องหลอดมากครับ และให้พลังที่หนักแน่นตั้งแต่แรกเปิดเครื่องไปจนถึงชั่วโมงสุดท้ายที่คุณเปิดใช้งาน ต้องชมเชยว่า น่าประทับใจตรงเป็นแอมป์คลาส A ที่กำลังดีไม่มีตกเลยจริงๆ ไม่ว่าจะขับที่ความดังแผ่วเบา หรือใช้อัตราสะวิงที่ความดังสูงๆ ก็ตาม 4. ในแง่อัตราสะวิง ให้ค่าไดนามิคดีมาก เปรียบเทียบแอมป์คลาส A ด้วยกัน ถือว่าโดดเด่นมาก และด้วยกำลังขับขนาด 50 วัตต์ คลาส A ของ INT-50L นี้ เทียบกับแอมป์คลาสอื่นๆ จะเหมือนเรากำลังรับฟังแอมป์ขนาด 150 วัตต์ ที่ผมเคยใช้งานเลยละครับ           เสียงที่มีความโดดเด่นเรื่องการให้รายละเอียด จากความดังระดับต่ำๆ ไปจนถึงระดับความดังสูง ทำได้อย่างมีสัดส่วนดนตรีอันสวยงาม และเสียงโอ่อ่าเปิดเผยเป็นพิเศษ 5. การไดรฟ์ลำโพงซึ่งใช้วงจรครอสโอเวอร์ ที่มีความต้านทานสลับซับซ้อนอย่าง BBC LS3/5A, LS 5/9 หรือ Harbeth P3 ESR Monitor 30.2 รวมถึง Totem One ที่ว่า ขับยากๆ เหล่านี้ ผมทดลองทั้งหมดแล้ว พบว่าแอมป์  ASL INT 50-L “จัดเต็ม” ได้อย่างสบายมาก ทั้งที่ตัวเลขเร่งโวลุ่มไม่เกิน 30 เท่านั้น จึงมั่นใจความสามารถได้อย่างเต็มที่ 6. เป็นแอมป์ที่มีบุคลิกเสียงที่อิ่มฉ่ำ พลังลึกเร้นดี ขับย่านความถี่ลำโพงออกมาครบถ้วน ให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ เสียงแบบนี้ต้องบอกว่าเกินความคาดหมายของผมไปมากครับ            นับเป็นผลงานการออกแบบแอมปลิไฟร์ คลาส A ที่น่าประทับใจ          เสียงดีเยี่ยมแบบนี้ อาจจะต้องแลกกับความร้อนที่ระบายออกมาทางฮีทซิ้งค์ ที่แผ่ไปจนถึงหลังเครื่อง และหน้าปัดอีกเล็กน้อย แต่ก็เป็นเรื่องที่ปกติธรรมดาเพราะผมเล่นแอมป์หลอด และแอมป์คลาส A มาตลอดอยู่แล้ว (คือถ้าแอมป์คลาส A ไม่ร้อนนี่ต่างหากที่ผมจะงง) 7. ในแง่ของการดีไซน์ ASL INT-50Lเป็นแอมป์ที่พิถีพิถันในการออกแบบ และได้ผลลัพธ์ที่ดี นี่คืออินทิเกรเต็ดที่สามารถสนองตอบการฟังเพลงได้ทุกสไตล์โดยไม่มีข้อจำกัด ไม่ได้แค่เพียงให้รายละเอียดได้ครบถ้วน เสียงหวานละมุนเท่านั้น แต่ยังคงไว้ซึ่งพละกำลังซ่อนเร้นอยู่อย่างมากมายเหลือพอ ที่จะแสดงศักยภาพออกมาอย่างครบถ้วนเมื่อคุณได้ฟังจริง         จากเพลงพ็อพ แจ๊ส ไปจนถึงคลาสสิก วงออเคสตร้าขนาดใหญ่ ทุกสไตล์ที่คุณได้ฟังจะมาพร้อมกับความแม่นยำเที่ยงตรงของเสียงดนตรี ให้เวทีเสียงที่มีความโอ่อ่า มีความเป็นธรรมชาติสูง และเสียงดนตรีที่ไหลราบรื่นต่อเนื่องสวยงามประดุจสายน้ำ           กล่าวได้ว่าสุดปลายทางเสียงดนตรีนั้น ASL INT-50L จะช่วยให้คุณไปถึงทุกจินตนาการได้ในทุกๆ รายละเอียดอย่างแน่นอน  ASL INT-50L ราคา 97,500.- บาทต่อเครื่อง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Absolute Audio Labs คุณบอย โทร. 083-121-4445  หรือทดลองฟังได้ที่  Hifi House กรุงเทพ  คุณศราวุฒิ  091-718-8716 โทร/ไลน์  

KEF LS50 Meta และ KEF KC62 ผสานความลงตัวเป็นหนึ่งเดียวกัน

KEF LS50 Meta และ KEF KC62 ผสานความลงตัวเป็นหนึ่งเดียวกัน โจทย์ที่ว่า ถ้ามีลำโพงสองทางขนาดเล็กหรือขนาดกลาง แล้วต้องการอัพคุณภาพมากยิ่งขึ้น สมควรเปลี่ยนเป็นลำโพงตั้งพื้นหรือเสริมแอคทีฟซับวูฟเฟอร์?        นี่ก็คือคำตอบที่น่าสนใจ ถ้าคุณยังต้องการให้ลำโพงวางขาตั้งหลัก แบบ Bookshelf แต่เดิมนั้น คงสถานะไว้ ไม่เปลี่ยนแปลง       สำหรับตัวอย่างการจัดเซ็ตครั้งนี้ ลำโพงหลักของผมคือ KEF LS50 Meta ในแง่การออกแบบจัดว่าล้ำสมัยที่สุดคู่หนึ่ง          ลำโพงรุ่น LS50 Meta ได้พัฒนามาหลายเวอร์ชั่น และล่าสุดก็คือ LS50 Meta เป็นลำโพงที่เน้นย้ำเรื่องความแม่นยำสูงและให้คุณภาพเสียงด้วยบุคลิกดึงดูดอารมณ์ ซึ่งสร้างขึ้นจากเทคโนโลยีอะคูสติก ระดับ “ปฏิวัติวงการ”       ลำโพงขนาดกะทัดรัด ที่แข็งแรงทนทานรุ่นนี้ ได้รับการออกแบบโดยใช้ไดรเวอร์อาร์เรย์ Uni-Q เวอร์ชั่น 12 ที่มีเทคโนโลยีการดูดซับ Metamaterial ที่ควบคุมโครงสร้างอันซับซ้อนมากคล้ายเขาวงกตที่สามารถดูดซับเสียงที่ไม่ต้องการจากด้านหลังของไดรเวอร์ได้ 99%         เป็นเทคนิคช่วยขจัดความบิดเบือนที่เกิดขึ้นและให้เสียงที่บริสุทธิ์เป็นธรรมชาติมากขึ้น ดังนั้น Uni-Q รุ่นที่ 12 พร้อม MAT ได้ทำงานร่วมกันภายใต้โครงสร้างที่ยอดเยี่ยม ในท่ามกลางความบิดเบือนที่น้อยลงที่สุดในระบบลำโพง และสนองตอบเสียงที่โปร่งใสสมจริงมากกว่าที่เคยเป็น        เท่าที่ได้ทดสอบใช้งาน จุดเด่นลำโพงคู่นี้ คือความมีพลังในการกระจายเสียงได้สม่ำเสมอทั่วทั้งห้องได้อย่างน่าทึ่ง ทั้งที่มีขนาดย่อมๆ เท่านั้น       ไดรเวอร์ Uni-Q ที่ประกอบอยู่บนพื้นผิวโค้งมนของแบบเฟิลหน้า ช่วยแผ่เสียงออกไปโดยไม่มีการรบกวนจากขอบแข็งซึ่งทำให้เกิดการ ”เลี้ยวเบน“ หรือ Diffraction ของเสียง ผลลัพธ์ที่ได้คือเสียงที่สะอาดและแม่นยำ      ไม่ใช่แค่ลำโพงที่ใช้งานได้ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่ยังเป็นประติมากรรมที่สร้างความมีชีวิตชีวาให้กับชีวิตของผู้ฟังอีกด้วย ปัจจุบัน LS50 Meta มีตัวเลือกสีให้ถึง 4 สี ได้แก่ Carbon Black, Titanium Grey, Mineral White และ Royal Blue Special Edition            LS50 Meta ได้รับการออกแบบโดย Simon Davies และ KEF Industrial Design Team ซึ่งมีแง่มุมทางด้านเทคนิคหลายอย่างที่น่าสนใจ หากมีโอกาส ผมจะนำเอาแนวคิดและวิธีการออกแบบของ Simon Davies มาให้ได้อ่านกันในเร็วๆ นี้ครับ มีผู้รักลำโพง KEF LS 50 สอบถามเข้ามาบ่อยครั้งว่า พวกเขายังคงพึงพอใจในน้ำเสียง LS50 Meta แต่หากจะขยับเป็นลำโพงตั้งพื้นของ KEF ก็ออกจะเสียดายคุณสมบัติเสียงเดิมๆ ของลำโพงคู่โปรด ที่กลางแหลม และมิดเบสสวยงามมากๆ       ทางเลือกที่ทำให้ลำโพง มีความทรงพลังโอ่อาแม่นยำและย่านความถี่ครบถ้วนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ใกล้เคียงกับลำโพงตั้งพื้น แต่ไม่อยากเปลี่ยนเป็นลำโพง Floor Standing ทำอย่างไรดี?        คำตอบที่ผมได้มาคือ ให้เสริม KEF KC 62 เข้าไป 1-2 ตู้ละก็ คุณก็จะเห็นความแตกต่างที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน    และเท่าที่ผมนำมาจัดชุดทดสอบให้ฟังใน Live เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ชมจะเห็นว่า KEF LS50 Meta และ KC62 ได้ทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว โดยไม่รู้สึกเลยว่า Active Sub-Woofer เป็นส่วนเกินในระบบ แต่กลับเสียงดีขึ้น และความสวยงามของตัวตู้ขนาดลูกเต๋า ก็เป็นที่ติดตาต้องใจยิ่งนัก         แม้ว่าปัจจุบันจะมีการให้ความคิดเห็นที่แตกต่างกันอย่างกว้างขวางในเรื่องของการเสริม Sub-Woofer เข้าไปในระบบ        ทุกสิ่งอย่างที่เป็นระบบเครื่องเสียงนั้น เราต้องยอมรับว่ามีหลายวิธีทางที่เราจะไปสู่จุดหมายของเราได้       ส่วนได้ ส่วนเสีย ส่วนผิด หรือส่วนถูก ขึ้นอยู่กับเรานำเอา Sub-Woofer มาใช้ด้วยเหตุผลใด และปรับให้สมดุลได้อย่างไร นั่นเอง       ซึ่งผมเคยได้อธิบายและแสดงเหตุผลเอาไว้หลายสิบประการแล้ว คงไม่จำเป็นต้องย้อนกลับมาพูดถึงอีก     ประโยชน์ย่อมขึ้นอยู่กับผู้ที่ใช้ว่า ใช้เป็น หรือไม่เป็น เข้าใจอรรถประโยชน์ที่พึงได้หรือไม่เพียงไร       สำหรับ KEF LS50 Meta และ KC62 ที่ผมได้ทดลอง Matching ใช้งานด้วยกันมาแล้ว ส่วนตัวคิดว่าประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี       เมื่อไม่อยากก้าวกระโดดขึ้นไปเล่นลำโพงตั้งพื้น อาจจะด้วยข้อจำกัดของพื้นที่ห้อง หรือเหตุผลอื่นๆ KEF KC62 เป็นคำตอบที่น่าสนใจจาก ซัพวูฟเฟอร์จิ๋วที่น่าอัศจรรย์ ตู้นี้       แนวทางการออกแบบซับวูฟเฟอร์ KC62 ของ KEF คือ เล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และให้พลังเสียงเบสที่หนักแน่นสมจริงเท่าที่จะเป็นไปได้เช่นเดียวกัน         KC62 เป็นซับวูฟเฟอร์ขนาดกะทัดรัดเหลือเชื่อ สามารถมอบพลังและความมหัศจรรย์ของเสียงเบสที่ทุ้มลึกและแม่นยำ เพื่อประสบการณ์การฟังเพลง หรือชมภาพยนตร์ และเล่นเกมที่เต็มอิ่มและน่าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก      จุดเด่นคือ KC62 มีขนาดเท่าลูกฟุตบอล สร้างขึ้นโดยใช้วิศวกรรมชั้นยอดของ KEF  ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยี Uni-Core ที่ล้ำสมัย ใช้ตัวไดรเวอร์ขนาด 6.5 นิ้ว จำนวน 2 หน่วย ทำงานคล้ายลูกสูบช่วงชักยาวให้การผลักอากาศได้ปริมาณมหาศาล ใช้การขับเคลื่อนด้วยแอมปลิไฟร์กำลังขับ 1,000W RMS Class D ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อขับความถี่ต่ำ     นี่คือการจับคู่ระหว่าง ลำโพง Book Shelf ขนาดย่อม กับ Active Sub-Woofer ขนาดจิ๋ว แบรนด์เดียวกัน ซึ่งออกแบบมาบนพื้นฐานเดียวกันด้วยครับ     • ผลลัพธ์ที่ได้จากภาคปฏิบัติ KEF LS50 Meta และ KEF KC62 ทดสอบจริงในห้องฟังขนาด 3.5x4.5 เมตร       การปรับถือว่าง่ายมาก เพราะมี EQ หรืออีควอไลเซชั่นด้วย DSP อัตโนมัติถึง 5 ตำแหน่ง (Room, Wall, Corner, Cabinet, Apartment)      ให้เราเลือกโหมดไปตามจุดตำแหน่งที่วางในสภาพแวดล้อมของห้องก่อน แล้วปรับระดับความดัง ความถี่จุดตัด และเฟสตามมา        ข้อแนะนำ ควรหาจุดตั้ง KEF KC62 ในแนวระนาบเดียวกับ LS50 Meta  ซึ่งเป็นจุดดีที่สุด หรือจะเป็น เสมอด้านหน้า หรือถอยหลังลึกกว่าลำโพงหลักก็ได้     ไม่ควรให้ตู้ซับ KEF KC62 วางล้ำหน้า หรือถอยหลังมากเกินไป ควรอยู่ห่าง LS50 Meta ในระยะไม่เกิน 1 ฟุต หรือใกล้กว่า เพราะจะปรับได้กลมกลืนง่ายขึ้น       ให้ปรับค่าจุดตัดต่ำสุดของซับวูฟเฟอร์ ปรับระดับความดัง Level ทีละเล็กละน้อยแล้วค่อยๆ ขยับขึ้นมา ในจุดที่เสียงเชื่อมต่อกันราบรื่นที่สุด        สำหรับในการทดสอบของผม ที่ได้ผลดีที่สุดคือ ให้ตั้งค่าความถี่จุดตัดของ KC62  ไว้ที่ประมาณ 45Hz เพราะนั่นคือจุดที่เบสของ LS50 Meta เส้นเคิร์ฟจะเริ่มลาดลงมา       ถ้าถามว่า จุดที่ 45 Hz ของ KC62 อยู่ตรงไหน ก็ให้ดูที่ปุ่มปรับ Crossover ของ KC62 ซึ่งจะอยู่กึ่งกลางระหว่าง 40 และ 50Hz ครับ       อันที่จริงเราสามารถยกจุดตัดความถี่ให้สูงขึ้นได้ ประมาณ 100Hz แต่การทำงานร่วมกับ LS50 Meta อาจจะไม่ได้ผลดีและกลมกลืน ได้เท่ากับจุดตัด 45-50Hz นี้ วิธีฟังคือ การปรับให้เบสและเสียงต่ำต้องไม่โด่งขึ้นมากเกินจริง ยึด Tonal Balance เป็นหลัก ในการหาจุดสมดุล – ใช้วิธีปรับด้วยการหาจุด 2 จุดคือ จุดที่ทำให้เราได้ยินเสียงต่ำชัดเจนที่สุด (อาจจะล้นๆ นิดนึงก็ได้) จากนั้นปรับให้ได้ยินเสียงซับวูฟเฟอร์เบาที่สุด หรือแทบไม่ได้ยินเลย หลังจากนั้นให้หาจุดกึ่งกลาง ระหว่างสองจุดตำแหน่งนี้  โดยอ้างอิงจากเพลงหรืออัลบั้มที่คุ้นเคยและมีย่านความถี่ค่อนข้างครบ ไม่ใช่แค่นำแผ่นหรือใช้เพลงที่เน้นเสียงกลอง หรือเสียงต่ำตูมตามมาปรับ เป็นหลักนะครับ       สรุป จุดที่ดีมากๆ ของ LS50 Meta และ KC62 คือแนวทางการออกแบบนั้นเป็นแบรนด์เดียวกัน การปรับจึงกลมกลืนกันง่าย และใช้เวลาไม่นาน คุณจะปรับเป็นลำโพงซิสเต็มเดียวกันได้อย่างลงตัว • หมายเหตุ ทั้ง KEF LS50 Meta และ KEF KC62 ควรถูกเบิร์น เกิน 80-120 ชั่วโมงแล้ว จะให้ผลอย่างเต็มที่ครับ     บทสรุป จากการใช้ KEF KC62 ร่วมกับ KEF LS50 Meta  1. ให้เวทีเสียงด้านกว้างลึกดีขึ้น 2. เครื่องดนตรีเสียงต่ำชิ้นหลัก อย่างดับเบิ้ลเบส กลอง มีมวล และพละกำลังเต็มอิ่มขึ้นอย่างน่าพึงพอใจมาก เรียกว่าสร้างความชัดเจนมีสัดส่วนของดนตรีเพิ่มขึ้น 3. น้ำหนักเสียงของชิ้นดนตรี มีมิติเป็นชิ้นเป็นอัน ให้สเกลเสียงสมจริง 4. มีผลด้านเสียงร้องที่อิ่มลึกขึ้น เสียงลงลำคอจะดูเป็นจริงมากกว่าเดิม 5. อิมเมจ จุดตำแหน่งเสียง ให้ความมีสัดส่วน ทรวดทรงดนตรี ทำได้ดีขึ้นกว่าเดิม 6. ช่วยให้เสียงต่ำทอดยาว มีน้ำหนัก มีผลดีกับเพลงแจ๊ส ร็อค และคลาสสิก จำพวกวงออเคสตร้า 7. มวลรวมของการฟังดนตรีที่มีจำนวนชิ้นมากๆ อย่างเพลงจากวงออเคสตร้า มีไดเมนชั่นเสมือนเสียงสามมิติเพิ่มขึ้น รูปวงขยายเต็มอัตราส่วน      นี่คือการรวมระบบลำโพง KEF LS50 Meta และ KEF KC62 ที่เสมือนหยิบลำโพงทรงลูกเต๋ามาผสมผสานกัน ทั้งลำโพงหลักและซับวูฟเฟอร์ ด้วยการส่งพลังเสียงโดดเด่น โอ่อ่าเทียบเคียงลำโพงตั้งพื้นระดับแสนได้อย่างสบายๆ และอาจจะมีข้อดีกว่าอย่างเห็นได้ชัดเจนคือ ไม่เปลืองพื้นที่ห้องฟัง นั่นเอง KEF LS50 Meta ราคาคู่ละ 49,900.- บาท KEF KC62 ราคาตู้ละ 69,900.- บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ทดลองฟังได้ที่ ร้านจำหน่ายเครื่องเสียงชั้นนำทั่วไป  หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: บริษัท วีแกดซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เลขที่ 9/7 ซ. รัชดาภิเษก 18 ถ. รัชดาภิเษก ห้วยขวาง กรุงเทพฯ โทร 02-692-5216 https://www.vgadz.com/kef/ https://www.facebook.com/KEFaudiothailand  

AURENDER A1000 สตรีมเมอร์ไฮเอนด์ สุดคุ้มค่า

AURENDER A1000 สตรีมเมอร์ไฮเอนด์ สุดคุ้มค่า          การเล่นเครื่องเสียงมีการพัฒนามาอย่างยาวนานนับศตวรรษ รูปแบบแหล่งโปรแกรมเปลี่ยนจากอนาล็อกมาถึงดิจิตอลออดิโอ บนเส้นทางของสตรีมมิ่ง หรือการฟังเพลงผ่านอินเตอร์เน็ต ก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว           เราจะเห็นสตรีมเมอร์รุ่นใหม่ๆ ถือกำเนิดขึ้นมาสนองตอบนักเล่น นับแต่ขั้นเริ่มต้น จนถึงไฮเอนด์นับพันๆ รุ่น            เปลี่ยนวิธีการทางคอมพิวเตอร์ด้วยการดาวน์โหลด มาเป็นสตรีม ที่ผมอยากพูดง่ายๆ ว่า เหมือนการ Live หรือถ่ายทอดสดจากผู้ให้บริการที่อัพโหลดแล้วส่งมายังเครื่องของเรานั่นเอง            อุปกรณ์หลักที่สามารถทำงานร่วมกันและยึดโยงเป็นเครือข่ายได้คือ คอมพิวเตอร์, แท็บเล็ตและสมาร์ทโฟน เครื่องเล่นสตรีมเมอร์ทั้งหลาย กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน            คิดว่าในยุคนี้ สตรีมมิ่งคือธงนำ นักเล่นเครื่องเสียงที่ต้องการคุณภาพเพลงที่ดี และมีความสะดวกสบายในการฟังเพลงในบ้านอย่างแท้จริง ระบบ-วิธีการเล่น ก็ไม่มีอะไรยุ่งยาก             จะเปรียบเสมือนว่า สตรีมเมอร์คือ เครื่องเล่นเพลงที่มีระบบปฏิบัติการ เพื่อฟังเพลงโดยเฉพาะ ที่อาจจะแยกวิธีใช้งานอย่างง่ายที่สุดด้วยระบบไร้สาย Bluetooth Wi-Fi หรือระบบสาย ด้วยอีเธอร์เน็ต เทคโนโลยีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ด้วยสาย LAN             ความเสถียร และอัตราความเร็วของอินเตอร์เน็ต รวมถึงอุปกรณ์เชื่อมต่อจะมีผลต่อ คุณภาพเพลง ที่เราจะได้ฟังด้วย             สำหรับผมได้ฟังเพลงสตรีมมิ่งมาหลายปี ทดลองตั้งแต่เครื่องราคาพื้นฐานมาจนถึงแยกชิ้น และที่ยังไม่ลงมือลงไปเล่นแบบจริงจัง ก็เพราะในช่วงก่อนหน้านี้ ผมยังไม่ค่อยปลื้มกับคุณภาพ ทั้งต้นทาง  กลางทาง และปลายทาง              ต้นทางคือคุณภาพไฟล์ ที่ได้จากผู้ให้บริการสตรีมมิ่ง ระยะแรก เสียงยังเทียบเคียงแผ่นซีดี ยังไม่ได้  สอง กลางทาง หมายถึงระบบจัดส่งสัญญาณทางอินเตอร์เน็ต ยังไม่เร็วพอ ไม่เสถียรพอ และสาม ปลายทาง คือเครื่องสตรีมเมอร์ และระบบปฏิบัติการยังไม่มีคุณภาพพอเพียง            กลับกันในปัจจุบัน มันเป็นคนละเรื่องกันเลย ผู้ให้บริการเริ่มมีการส่งไฟล์ ระดับไฮเรส ที่ดีกว่าการฟังแผ่น CD  อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง และส่งข้อมูลได้แม่นยำ เครื่องเล่นสตรีมเมอร์ไฮเอนด์ ก็พัฒนากันแบบสุดโต่งไปเลย             โดยเฉพาะเครื่องเล่นสตรีมเมอร์ที่มีระบบสตรีม มีภาค DAC และภาคปรีในตัว พร้อมที่จะนำไปเชื่อมต่อกับภาคขยาย อย่าง AURENDER A1000 นี้ คือคำตอบของทุกๆ เหตุผล ถ้าคุณจะหันมาเล่นเพลงสตรีมมิ่งอย่างสมบูรณ์แบบ            หากย้อนหลังกลับไป น้อยคนจะทราบว่า ผู้ที่คิดค้นเครื่องเล่นสตรีมเมอร์เครื่องแรกขึ้นมาในโลก บริษัทนั้นก็คือ AURENDER จากประเทศเกาหลี เมื่อเกือบ 20 ปีมาแล้ว‼️             พัฒนาการของ AURENDER จึงถือว่าก้าวหน้ารวดเร็วกว่าใคร โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องเล่นสตรีมเมอร์ไฮเอนด์ ถือว่ายืนอยู่แถวหน้าเลยด้วยซ้ำ            การเป็นผู้ริเริ่มก่อน พัฒนาก่อน คือข้อได้เปรียบที่เห็นได้ชัดเจน             แม้ผมจะไม่ใช่ขาหลักด้านสตรีมเมอร์ เพราะชีวิตทุ่มเทให้กับการเล่นแผ่นเสียงแบบอนาล็อกมากกว่า           อีกทั้งมีผู้เชี่ยวชาญ ด้านสตรีมมิ่ง ที่เขาลงไปปักหลักลงลึกมายาวนาน อาจจะอธิบายเทคนิคลงไปในดีเทลได้ละเอียดยิ่งกว่าผมด้วยซ้ำ             แต่ผมก็จะพูดถึงในฐานะ “คนเล่นเครื่องเสียง” ที่เล่นทุกระบบซึ่งให้คุณประโยชน์ต่อการฟังเพลง ว่าหากเปิดใจให้ระบบสตรีมมิ่ง เครื่อง AURENDER A1000 น่าจะเป็นเครื่องสตรีมเมอร์ ที่ใจของนักเล่นอย่างเรา ยอมรับได้อย่างไร้ข้อกังขาครับ           AURENDER A1000 สำหรับผมก็เปรียบเสมือนเครื่องเล่น SACD ผสมดิจิตอลจูนเนอร์ ที่มีภาค DAC ในตัว ต่อเข้ากับแอมป์ เซ็ตอัพนิดหน่อย เล่นเพลงได้ทันที ไม่ต้องมีภาระเก็บแผ่นเพลงที่ชอบเป็นพันๆ แผ่น เช่นปัจจุบันอยากฟังเพลงก็แค่เป็นสมาชิกผู้ให้บริการ และเพลงมีให้เลือกเป็นล้านอัลบั้ม‼️          หรือจะเลือกบริการฟังเพลงและข่าวสารฟรีจากวิทยุอินเตอร์เน็ตบนโลกใบนี้ AURENDER A1000 มีให้คุณเลือกฟังเป็นหมื่นสถานี  โดยเฉพาะสถานีเพลงที่ให้คุณภาพเสียงกันในระดับออดิโอไฟล์          AURENDER A1000 มีจุดเด่นที่นอกเหนือจากโครงสร้าง รูปทรงจะงดงามแข็งแกร่ง มีหน้าจอ IPS LCD 6.9" ขนาดใหญ่ โชว์ข้อมูลและหน้าปกอัลบั้มเพลงที่กำลังเล่นอยู่ ภายในยังออกแบบระบบวงจรอย่างเป็นเลิศด้วย   มีภาคชิปแด็ค AKM4490REQ ทำงานในแบบ Dual Mono โดยใช้ชิป 2 ตัวแยกกันทำงานอิสระ ตัวละ Channel ไปเลย          ให้การรองรับ Tidal, Tidal Connect, Qobuz, Spotify Connect, AirPlay และยังมี Bluetooth AptX-HD และ Google Cast Audio         รองรับไฟล์เพลงได้ในระดับ  32-bit 768 kHz และ DSD512          ที่ผมคิดว่าเป็นหัวใจสำคัญเลย คือภาคจ่ายไฟภายในที่ใช้ 5 ชุดแยกอิสระ สำหรับภาคดิจิตอลและภาคอนาล็อก รวมไปถึง Clock และ FPGA           มี Digital output และ Digital input ครบทุกรูปแบบ สะดวกอย่างยิ่งในการต่อใช้งานร่วมกับเครื่องอื่นและการขยายการทำงานในอนาคต         มี HDMI ARC Input, Bluetooth AptX-HD, Google Cast Audio สะดวกอย่างยิ่งในการต่อใช้งานกับ Device ต่างๆ         มีสล็อตสำหรับติดตั้ง SSD เพิ่มเติม หากต้องการสตรีมไฟล์ไฮเรสจากในเครื่องโดยตรง            สรุปก็คือ AURENDER A1000 มีความสามารถหลากหลาย สามารถใช้งานเป็นสตรีมเมอร์, Digital Transport, D/A Converter และเป็น Preamplifier ในตัว              หากเรามาวิเคราะห์เจาะลึกลงไปจากด้านหน้าที่เรียบง่าย มีปุ่มเลือกกด Power และซีเลคเตอร์ ไม่กี่ปุ่มไปจรดด้านหลังที่มีอินพุต เอาต์พุตครบครัน    • หากเปิดหลังเครื่องเข้าไปดูภายใน เราจะเห็นแผงวงจรของภาคจ่ายไฟขนาดใหญ่เกือบครึ่งหนึ่งของตัวเครื่องเลยทีเดียว มีหม้อแปลงลูกใหญ่ 1 ชุด ทำหน้าที่จ่ายไฟให้กับดิจิตอลบอร์ด และหม้อแปลงลูกเล็ก อีก 2 ชุด ที่จะมีภาคจ่ายไฟแบบเรกกูเรตย่อยๆ ออกไปอีก 6 ชุด เพื่อจ่ายไฟให้กับภาคดิจิตอล และ D/A Converter             สำหรับภาคจ่ายไฟทั้งหมดเป็นรูปแบบ “เรกกูเรต” ซึ่งมีใช้ในเฉพาะสำหรับเครื่องไฮเอนด์เท่านั้น เครื่องสตรีมเมอร์ทั่วๆ ไปยากจะฝันถึง           แผงวงจรภายใน AURENDER A1000 จะประกอบไปด้วยแผงวงจรหลัก 3 แผง ภาคจ่ายไฟ 1 แผง ดิจิตอลเมนบอร์ดที่ติดตั้ง CPU อีก 1 แผง และภาคดิจิตอลออดิโอกับภาคแปลงรหัส  D/A Converter อีก 1 แผง             น่าทึ่งตรงที่ ตามปกติเครื่องเล่นสตรีมเมอร์ชั้นดีทั่วไป มักไม่ได้ทำการแยกแผงเมนบอร์ด และดิจิตอลออดิโอออกจากกัน ก็เพื่อประหยัดต้นทุนและความรวดเร็วในการผลิต            แต่ AURENDER ให้ความพิถีพิถันกับเรื่องเหล่านี้มาก ด้วยการแยกบอร์ดทั้งสองออกจากกัน จะทำให้สามารถลดสัญญาณรบกวนจากดิจิตอลบอร์ดไปยังอนาล็อกบอร์ดลงได้อย่างมาก เพื่อคุณภาพเสียงที่ดีและถ่ายทอดทุกไฟล์เสียงอย่างหมดจดจริงๆ        รายละเอียดทางด้านการออกแบบ ท่านผู้อ่านสามารถติดตามได้จากเพจ DISCOVERY HIFI เพิ่มเติมได้เลยครับ https://www.facebook.com/people/DISCOVERY-HIFI/61557919654271/     • การทดสอบใช้งาน เพื่อความสะดวกในการคอนโทรลระบบสตรีมมิ่ง ต้องโหลดแอพพลิเคชั่น Conductor ของ AURENDER ในแอพสโตร์ มาใช้งานนะครับ กรณีของผมใช้กับ iPhone 15 ProMax และ MC Book Pro บางท่านอาจจะใช้เป็นแท็บเล็ตก็ขึ้นกับความสะดวกของแต่ละท่าน             ในระยะเวลาสองสัปดาห์แรกที่ผ่านมา ผมมีโอกาสคลุกคลีใช้งานเครื่อง AURENDER A1000 อย่างจริงจังในฐานะนักเล่นเครื่องเสียงที่ปรารถนาคุณภาพเสียงดนตรีที่ดีงามอย่างหลายหลาก และต้องการความเรียบง่ายไม่ซับซ้อน           การต่อใช้งาน ผมใช้สาย LAN เป็นตัวเชื่อมต่อรับสัญญาณจากเราเตอร์ ตรงมายัง A1000 ซึ่งเป็นสายธรรมดาตามมาตรฐาน (แพคเกจอินเตอร์เน็ตที่ใช้คือ 1000/700) ผมฟังเพลงสตรีม จากAURENDER A1000 มาได้สัก 3-4 วัน โดยต่อสายแลนจากเราเตอร์โดยตรงไม่ได้ผ่านอุปกรณ์อื่นใด ผมว่าปกติ AURENDER A1000 ให้คุณภาพ รายละเอียด ที่ดีเยี่ยมน่าพอใจจากเพลงของผู้ให้บริการ Streaming หลายเจ้าที่ผมเป็นสมาชิกอยู่แล้วละครับ             แต่เมื่อ คุณกิตติคุณ DISCOVERY HIFI ได้ส่งเน็ตเวิร์คสวิตช์ Ediscreation SILENT SWITCH OCXO มาให้พร้อมกับสาย LAN เกรดสูง Viard Audio มาให้ พอนำมาต่อคั่นใช้งาน ผมมีความรู้สึกเหมือนโลกแห่งเสียงดนตรี เปลี่ยนไปอีกหนึ่งสเต็ปทันที           ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งอยู่ไม่น้อย เสียงที่ดูเรียบสะอาดมากๆ ให้ความอิ่มฉ่ำ อบอุ่นขึ้น รายละเอียดเสียงดีขึ้น เพลงที่มาจาก TIDAL แนวเพลงที่ชอบเหมือนถูกยกระดับไปอีกขั้นหนึ่งเลย และเมื่อฟังเพลงจากวิทยุอินเตอร์เน็ตของ BBC ประเทศอังกฤษ เสียงช่วงปลายดูเนียน เสียงสนทนาของผู้จัดทำรายการ หลุดลอยออกมาเหมือนไปนั่งฟังเขาพูดต่อหน้า             เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันทันที เสมือนหนึ่งว่า Noise ต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ระบบการเล่นเพลง Streaming นั้น ถูกคัดกรองสัญญาณรบกวนออกไป ให้เราฟังเสียงที่สะอาดกว่า           เป็นบทเรียนอย่างหนึ่งที่ทำให้เรารู้ว่าการเล่นเพลงทุกระบบ ไม่ว่าจะอนาล็อก หรือดิจิตอล จะต้องเอาใจใส่เกี่ยวกับเรื่องของสัญญาณรบกวนมาก-น้อยเพียงใด         พูดให้ชัดคือ ตอนนี้ผมฟังเพลงโดยไม่ผ่าน Network Switch ไม่ได้แล้วละครับ            AURENDER  A1000 เป็นอะไรที่ง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อนครับ หลังจากต่อสาย LAN กดเปิดเครื่อง ระบบจะรันกับอินเตอร์เน็ต เพื่อใช้งานโดยแสดงเลขไอพี ของอินเตอร์เน็ต กรณีที่ต่อคร้้งแรก หากยังเชื่อมต่อไม่ได้ หรือค้นหาไม่พบ ก็แค่ปิดเราเตอร์ของเรา แล้วเปิดใหม่อีกครั้ง จากนั้นก็จะใช้งานได้ทันที           บางกรณีถ้าเปิดเครื่องขึ้นมาแล้ว มีการอัพเดท จะต้องปล่อยให้เครื่องอัพเดทให้เสร็จเรียบร้อยก่อนทุกครั้ง ที่คุณจะคอนโทรลหรือใช้งานเครื่อง          บางกรณี หลังจากอัพเดท เครื่องอาจจะสุ่มไอพีขึ้นมาใหม่ ตรงนี้เราก็ใช้สมาร์ทโฟนปรับไอพีให้ตรงกัน จากนั้นระบบก็จะเข้าสู่โหมดการทำงานปกติได้เลย       บทสรุปคุณภาพเสียงของ AURENDER  A1000 1. ความสะอาดของเสียง นับว่ามีความเป็นเอกลักษณ์จริงๆ เป็นเสียงที่ Clean มากกว่าที่เคยได้ฟังจากสตรีมเมอร์ DAC อื่นๆ อย่างชัดแจ้ง 2. ในเรื่องสำคัญคือ ดีเทล หรือรายละเอียด เป็นความแตกต่างที่เราพบได้ว่า AURENDER A1000 ให้รายละเอียดดีมาก เก็บทุกเม็ดเสียงกับเพลงระดับออดิโอไฟล์ แม้จะมีบิตเรตพื้นฐานแค่ 16 บิต /44.1 KHz ก็ตาม และไฟล์เสียงที่เสียงละเอียดยิบขนาด MAX หรือ 24 บิต/44.1 และ 24 บิต 192 KHz ไปจนถึง MQA 16 บิต 352.8 KHz ก็ยิ่งเข้าถึงรายละเอียดมากขึ้นอย่างน่าทึ่ง เป็นประสบการณ์ที่เราจะต้องยอมรับว่า วิถีของ Hi-Res ในสตรีมมิ่งนั้น เข้าถึงทุกรายละเอียดอย่างสมบูรณ์จริงๆ ที่สำคัญภาค DAC ที่ถอดรหัสฉับไว สะอาด คืออีกหนึ่งหัวใจของเครื่องโดยแท้จริง 3. AURENDER A1000 ให้ความรู้สึกที่เข้าถึงง่าย ใช้งานง่ายดุจพลิกฝ่ามือ และใกล้ชิดในทุกเสียงแผ่วเบาของดนตรี นับว่าให้อารมณ์การรับฟังที่อิ่มเอมมาก โดยเฉพาะเพลงคลาสสิกคัล ที่ขยายขอบเขตการฟัง และ Dynamic Range ที่ยอดเยี่ยมมากขึ้นกว่าธรรมดา 4. เพลงจากค่าย Telarc หลายอัลบั้ม อาจจะเป็นเพลงที่ใช้ทดสอบระบบเสียงซิสเต็มของคุณได้ สามารถเล่นจาก AURENDER A1000 ได้ค่าไดนามิคคอนทราสต์ หรือไดนามิคเร้นจ์ อย่างสมบูรณ์ดีมาก  5. ฟังอินเตอร์เน็ตเรดิโอ ได้นับหมื่นสถานี เรียกว่ามากมายไม่จบสิ้น ให้ความสะดวกยอดเยี่ยม โดย AURENDER A1000 สามารถไล่เรียงตั้งแต่สถานีเพลงในประเทศไทย และครอบคลุมไปทั่วโลก และผมก็มักจะพักใจเอาไว้ที่สถานีวิทยุของ BBC สหราชอาณาจักร ทั้งเพลง ข่าวสาร บางวันอาจจะเพลิดเพลินเพลงคลาสสิกกับสถานี Linn เป็นต้น บางสถานีให้คุณภาพเสียงยอดเยี่ยมใกล้เคียงแผ่น SACD เลยด้วยซ้ำครับ 6. AURENDER A1000 ให้ความไพเราะ ความกังวานหวานใส ความละเมียดละไมอิ่มอุ่นของดนตรีหลายประเภท โดยปราศจากข้อจำกัดใดๆ โดยเฉพาะผมฟังเสียงบรรเลง เปียโน ของ Alice Sara Ott แล้ว อัศจรรย์ใจในการเก็บทุกรายละเอียด และฮาร์โมนิคครบถ้วนจริงๆ 7. เพลงไทยที่มีในผู้ให้บริการสตรีมมิ่ง ดูเหมือนทาง Spotify จะมีให้เลือกฟังได้มากกว่า ความ สมบูรณ์ของ AURENDER A1000 ช่วยให้เราได้รับรายละเอียดของชิ้นดนตรีมากที่สุดเท่าที่สตูดิโอได้บันทึกมา 8. ชอบการแสดงผลหน้าจอของ AURENDER A1000 ที่มีขนาดใหญ่พอดิบพอดี แจ้งรายะเอียดเพลง ขนาดไฟล์เพลง บริการสตรีมมิ่ง ครบถ้วน รวมทั้งสถานีอินเตอร์เน็ตเรดิโอ   9. วันเวลาที่ใช้งาน AURENDER A1000 เหมือนกับย่อยดนตรีทั้งโลกมาอยู่ที่ปลายนิ้ว จะบันทึกไว้ใน Library สำหรับเลือกฟังทุกครั้งที่ต้องการ สร้าง Queue คิวเพลงได้ถึง 2,000 คิว สร้างรายการเพลงไว้เป็น Playlist (เพลย์ลิสต์) ตามใจชอบได้ 10. บทสรุป AURENDER A1000 คือสตรีมเมอร์ที่ผสานภาคแปลงรหัสดิจิตอลเป็นอนาล็อก หรือDAC และปรีแอมป์ ที่สมบูรณ์แบบก้าวหน้าที่สุดเครื่องหนึ่งในปัจจุบัน ซึ่ง AURENDER มีความตั้งใจอย่างมากในการทุ่มเทการออกแบบ A1000 เพื่อสนองต่อนักฟังเพลงในระดับออดิโอไฟล์ ที่มีความต้องการความสมบูรณ์ครบถ้วน เท่าที่เทคโนโลยีล้ำยุคจะอำนวยให้ได้   • ข้อแนะนำนะครับ สำหรับผู้ที่ตั้งงบประมาณเอาไว้สำหรับสตรีมเมอร์หนึ่งเครื่องในระดับราคาไม่เกิน 200,000.- - 300,000.- บาท ตอนนี้คุณอาจจะไม่จำเป็นต้องลงงบขนาดนั้นก็ได้       • หรือบางท่านตั้งงบไว้ใกล้เคียง 100,000.- บาท ก็ขอให้ขยับดึงงบประมาณของท่านขึ้นไปอีกสักเล็กน้อย แล้วพิเคราะห์ AURENDER A1000 ให้ดีๆ ครับ เพราะเป็นเครื่องที่ให้ความคุ้มค่าในแบบไฮเอนด์ ที่เล่นแล้วไม่อยากขยับไปไหนอีกเลย         ถ้าจะมีบทสรุปสั้นที่สุด ผมคงกล่าวคำจำกัดความว่า “AURENDER A1000 สตรีมเมอร์ไฮเอนด์ สุดคุ้มค่า” โดยไม่ต้องขยายความอะไรเพิ่มเติมอีกเลย • ราคาพิเศษสุดสำหรับช่วงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ สามารถซื้อได้ในราคาเพียง เครื่องละ 109,000.- บาทเท่านั้น จากราคาปกติเครื่องละ 129,000- บาท   สนใจสอบถามรายละเอียดและโปรโมชั่นได้ที่ DISCOVERY HIFI  โทร. 085 517 8292 • หมายเหตุ ชุดซิสเต็ม Reference - Hattor Audio Ultimate Passive Pre - Hattor Audio Ultimate Mono Power Amp 400Watts - Harbeth Monitor 30.2 Anniversary Speaker

KEF Q11 META ความลงตัวพอดี กับดนตรีทุกสไตล์

KEF Q11 META ความลงตัวพอดี กับดนตรีทุกสไตล์ ลำโพง KEF Q11 META รุ่นใหม่ล่าสุด ถือเป็นผลรวมของเทคโนโลยีลำโพงที่นำมาจากรุ่นซูเปอร์ไฮเอ็นด์ Blade และ The Reference Series ถ่ายทอด DNA มาสู่ Q Series ได้เหมาะเจาะลงตัว ด้วยลำโพงรูปทรงทาวเวอร์ที่มีส่วนสูงหนึ่งเมตรเศษ หรือ 41.8 นิ้ว หน้ากว้าง 8.3 นิ้ว แต่ลึกถึง 15 นิ้ว     ดีไซน์ มีฐานรองยื่นออกมาสี่มุม สำหรับประกอบจับยึดกับตัวตู้ พร้อมสไปก์ยาง ที่ปรับระดับได้ ตู้ระบบท่อเปิด Bass Reflex ออกด้านหลัง มีฟองน้ำสำหรับปิดท่อมาให้ลำโพงเป็นตู้ปิดได้ หากต้องเซ็ตอัพในพื้นที่ห้องที่มีข้อจำกัด หรือผนังด้านหลังชิดลำโพง     สิ่งที่แปลกและเบสิกอย่างยิ่งคือ KEF ใช้ขั้วลำโพง Single Wired โดยมีนัยยะว่า ลำโพงตั้งพื้น Q11 META เหมาะกับการขับเสียงแบบราบรื่นด้วยแอมป์และสายต่อเพียงชุดเดียวพอเพียงแล้ว นี่เป็น Q Series ที่ออกแบบให้เป็นระบบลำโพงตั้งพื้น 3 ทาง (รุ่นเรือธง) เพื่อประสิทธิภาพที่ดื่มด่ำในห้องขนาดใหญ่และโฮมเธียเตอร์ มาพร้อมไดรเวอร์ Uni-Q เจเนอเรชั่นที่ 12 ซึ่งพัฒนาถึงขีดสุด พร้อมเทคโนโลยี MAT  ใช้ไดรเวอร์ขับเสียงเบสอะลูมิเนียมไฮบริดขนาด 6.5 นิ้ว จำนวน ถึง 3 ตัว เรียงกันในแนวดิ่งช่วยให้ถ่ายทอดเพลงและภาพยนตร์ด้วยรายละเอียดที่ประณีต เบสที่ทรงพลัง และความลึกอิ่มกับเพลงทุกสไตล์ที่เราชื่นชอบ อย่างไร้ขีดจำกัด     นอกจากใช้ Uni-Q เจเนอเรชั่นที่ 12 ร่วมกับเทคโนโลยี MATแล้ว นี่ยังเป็นโครงสร้างตู้แบบ Flexible Decoupling ช่วยลดการส่งผ่านการสั่นสะเทือนที่เป็นส่วนเกินได้เป็นอย่างดี ดังที่ผมเรียนไว้ในคลิปวิดีโอก่อนหน้านี้ KEF แก้ปัญหาที่ไดรเวอร์มักจะขับเสียงโดยมีมุมกระจายเสียงปะทะหน้าตู้ตัวเอง ด้วยการเพิ่ม Shadow Flare เปรียบเสมือนวงแหวนท่อนำเสียงรอบๆ Uni-Q อีกชั้นหนึ่ง ป้องกัน ดิฟเฟรคชั่น หรือการเลี้ยวเบนทางเสียง KEF พัฒนาครอสโอเวอร์ใหม่เน้นการตอบสนองทั้ง on-axis และ off-axis ที่มีการทดสอบนับพันๆ ครั้ง เพื่อให้จุดตัดความถี่มีความแม่นยำและทำให้ตัวขับเสียงทุกตัว สามารถผลักอากาศได้อย่างสมูท และเป็นเสมือนหน่วยเดียวกัน ซึ่งจะมีผลต่อโทนัล บาลานซ์ที่ดีเลิศ เป็นลำโพงที่ทางผู้ผลิตแจ้งผลการตอบสนองความถี่ไว้ที่ 44Hz - 20kHz และมีความไวอยู่ที่ 89dB SPL อีกทั้งเป็นลำโพงไม่กี่คู่ในแวดวงไฮไฟ ที่ระบุค่าความเพี้ยนโดยรวมต่ำกว่า 1% ตลอดย่านความถี่ตอบสนอง นับว่ามีความสมบูรณ์แบบอย่างมาก อย่างไรก็ตามสิ่งที่ควรทราบก็คือ ลำโพงนั้นมีค่าความต้านทานเฉลี่ยอยู่ที่ 4 โอห์ม จึงไม่เหมาะที่จะนำลำโพงคู่นี้ไปต่อขนานหรือพ่วงกันกับลำโพงคู่อื่นๆ ข้อดีคือ เป็นลำโพงที่ไม่ได้กินกำลังขับอย่างที่คาดเอาไว้แต่อย่างใด ทำให้พลังเสียงออกมาได้อย่างเต็มที่ แม้แอมปลิไฟร์นั้นจะมีกำลังขับแค่ปานกลางโดยทั่วไปก็ตาม จากการทดสอบฟังในระยะหนึ่งสัปดาห์ โดยใช้เวลาในการเบิร์นก่อนหน้า 5-6 วัน เพื่อให้ครบ 150 ชั่วโมง พบว่าเป็นลำโพงที่มีองค์ประกอบประณีต มีบุคลิกของความนุ่มนวล ทรงพลัง ให้เวทีเสียงกว้างลึกดีมาก เปรียบเทียบงบประมาณราคา 95,900.- บาท/คู่แล้ว นับว่าคุ้มค่ามาก สำหรับผู้ที่ฟังเพลงอย่างหลากสไตล์ หรือนำไปใช้เป็นคู่หน้าในระบบ Home Theater   KEF Q11 META ลำโพงมีให้เลือกผิวตู้ สามสี คือ ขาว ดำ และ ผิววอลนัต พร้อมกริลล์แบบตะแกรงโลหะอ่อนแมตช์กับสีตู้ เนื่องจาก KEF Q11 META ได้รับการทดสอบ หรือรีวิวจากสื่อหลายสำนักทั้งในประเทศ ต่างประเทศ มีความน่าสนใจและได้รับคอมเมนท์ชื่นชมมากมาย ซึ่งทุกท่านสามารถหาอ่านได้ในสื่อโซเชียล สำหรับการทดสอบของผมนั้น ให้ถือเป็นอีกแง่มุมหนึ่ง ที่ใช้ทั้งเครื่องสตรีมเมอร์ เครื่องเล่นแผ่นเสียง ซีดีเพลย์เยอร์ สำหรับสรุปผลการทดสอบในทางปฏิบัติ ซึ่งมีซิสเต็มอ้างอิงดังต่อไปนี้  - NAD C3050 + NAD M23 Power - Audio Innovation 500 series - FMj 300 B - Hattor Audio Ultimate Preamplifier - Hattor Audio Ultimate Mono Power Amp - Aurender A1000 Streamer DAC - Denon DCD 2500NE SACD - NAD C588 Turntable - Life Audio LD5 MK II   Review ก่อนถึงบทสรุปทดสอบในเรื่องคุณภาพเสียงที่ผมจะแสดงไว้เป็นข้อๆ เพื่อความกระชับเข้าใจง่าย ขอกล่าวถึงจุดเด่นในแนวทางการออกแบบที่ KEF พัฒนา Q Series มาจนถึงความสมบูรณ์สูงสุดในปัจจุบัน ที่ผมรู้สึกประทับใจ กับผลของเสียงที่สมบูรณ์ก็คือ แรกสุดมาจากการใช้ตัวขับเสียงหลัก Uni-Q Generation ที่ 12 ที่ก่อกำเนิดเสียงช่วงแหลมและมิดเร้นจ์จากแหล่งกำเนิดเสียงเดียวกัน ตัดปัญหาเรื่องเฟส และไทม์อะไลน์เม้นท์ ทำให้มีโทนัล บาลานซ์ของเสียงดีเยี่ยมกว่าตัวขับเสียงโดยทั่วไป เป็นตัวขับที่พัฒนาได้อย่างทรงประสิทธิภาพอย่างมาก อีกทั้งเทคโนโลยีแผ่นเมมเบรน Metamaterial Absorption Technology (MAT) ซึ่งเป็นการปฏิวัติวงการอย่างแท้จริง ในการจัดการ กับอคูสติกภายในตู้ลำโพงของ KEF ด้วยโครงสร้างซับซ้อนคล้ายเขาวงกตช่วยขจัดเสียงที่ไม่ต้องการจากด้านหลังของไดรเวอร์ ได้ถึง 99% ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานบริสุทธิ์และเป็นธรรมชาติมากขึ้น รวมถึงเทคนิคการออกแบบอื่นๆ ที่ประกอบกันอย่างลงตัว รูปแบบตัวตู้ทาวเวอร์ทรงลึกเป็นพิเศษ ทำให้ Q11 METAสามารถใช้งานได้อย่างคล่องตัวกับห้องที่มีพื้นที่เล็ก ถึงห้องขนาดใหญ่ จาก 12-30 ตารางเมตรโดยปราศจากปัญหา หลังจากเบิร์นได้ตามลำดับชั่วโมงที่ผมตั้งใจไว้ จะพบว่าการผลักอากาศของตัวขับเสียงดูคล่องตัว มีทั้งความคล้องจองกันของเบสไดรเวอร์ทั้ง 3 และความรู้สึกที่เปิดโปร่งอิสระมากยิ่งขึ้นกับ Uni-Q เจเนอเรชั่นนี้ แม้ลำโพงคู่ที่ผมนำมาทดสอบ อาจจะผ่านการใช้งานมาบ้างเล็กน้อย แต่แรกสุดที่แกะกล่อง และนำมาเบิร์น พบว่าช่วงเสียงต่ำจะยังดูทึบๆ หนักๆ ไม่ปลดปล่อยอยู่บ้าง ดังนั้นท่านใดที่เป็นเจ้าของ KEF Q11 META ลำโพงตั้งพื้นขนาดใหญ่คู่นี้ ควรใหัระยะเวลานับแต่เปิดกล่อง เบิร์นอินไปจนถึงการฟังระยะแรกๆ ไปสัก 2-3 สัปดาห์ครับ เพื่อให้ความสดใหม่ของลำโพง ได้ “กายบริหาร” ให้คล่องตัว เพราะหลังจากทุกอย่างพร้อม คุณจะได้คุณสมบัติเยี่ยมๆ จากเสียงดนตรีที่สมจริงอบอุ่นนุ่มนวลน่าหลงใหลเลยทีเดียว     1. ระยะการวางทั่วไป Setup ได้ลงตัวที่สุด (ในห้องฟังของผมประมาณ 3.5x4.5 เมตร) ลำโพงวางห่างกัน จากศูนย์กลาง ถึงศูนย์กลางที่ 2.10 เมตร ห่างผนังหลังประมาณ 1 เมตร (วัดถึงท่อพอร์ตด้านหลัง) และห่างผนังข้างประมาณ 70 เซนติเมตร 2. ฟังที่ความดังเฉลี่ยทั่วไป 55-65 เดซิเบล มีอัตราพีคสูงสุดบางครั้งกับเพลงคลาสสิกคัล วงออเคสตร้าวงใหญ่ ที่ 85 เดซิเบล 3. ไม่ต้องโทอินลำโพง แต่การผสานกันของเวทีเสียง ของลำโพงซ้ายและขวาเสมอสมานกันได้สนิทเป็นหนึ่งเดียว ทำให้รู้สึกได้ถึงความโอ่อ่า เวทีเสียง Soundstage ว่า KEF Q11 META ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ผมชอบความลึกเวทีดนตรีที่เหนือลำโพงตั้งพื้นหลายคู่ที่เคยฟังมา (On the Beautiful Blue Danube Waltz, Op.31- Ein Straussfest) 4. ฟังเพลงได้อย่างหลากหลายสไตล์มาก ตั้งแต่ พ็อพ แจ็ส คันทรี ไปจนถึงคลาสสิก และเพลงร็อคในตำนานที่สนองความถี่ได้เต็มสเกล โดยเฉพาะความถี่ต่ำลึกแบบลึกอิ่มมีพลังชนิดไม่ต้องพึ่งซับวูฟเฟอร์ Q11 META ก็สนองตอบได้อย่างอิ่มอารมณ์มาก (Turn of The Tide -Barclay James Harvest) อิทธิพลของการวางตัวขับเบสสามตัวเรียงแนวดิ่งทำงานประสานกันได้ราวกับฟังเสียงจากวูฟเฟอร์ 15 นิ้วเลยครับ‼️ 5. ความเรียบสะอาดของเสียงร้อง ที่ดูหลุดลอย และได้อิมเมจจุดตำแหน่งแม่นดีแท้ครับ บางอัลบั้มนี่เล่นเอาผมประหลาดใจเลยว่า KEF Q11 META นี่ให้ผลลัพธ์เหมือนฟังดนตรีและศิลปินมาขับร้องอยู่แถวหน้าเลยด้วยซ้ำ (Amanda McBroom -Voices) 6. ดีเทล รายละเอียด ของ Q11 META นับว่าครบถ้วนดีทีเดียว ผมเคยฟัง KEF R5 และ Reference 1 มาก่อน นับว่าปลายเสียงของ Q11 META แจกแจงรายละเอียดได้ในแนวทางเดียวกัน คืออิ่มฉ่ำสุภาพ ละเมียดละไม ชัดเจน ในยามพีคของเครื่องดนตรี ไม่แผดกล้าผิดเพี้ยน การทำงานไดรเวอร์แม่นยำ ผลจากเทคโนโลยี MAT น่าจะเป็นคำตอบของคุณภาพเสียงได้เป็นอย่างดี (Breaking Silence: Janis Ian) 7. การฟังเพลงจากแผ่นเสียง KEF Q11 METAให้คำตอบของน้ำหนักเสียงหรือค่าไดนามิคของเสียงได้เป็นอย่างดี นี่คือลำโพงตั้งพื้นที่ดูจะแสดงพลัง หรือ Energy ของดนตรีอย่างมีลำดับความดัง-เบา ด้วยสัดส่วนสมจริง และค่าทรานเชียนต์หรือเสียงที่ฉับพลันได้ชนิดครบถ้วน แม่นยำ 8. KEF Q11 META มีข้อดีอย่างมากก็คือ เป็นลำโพงที่สนองตอบเพลงได้ไม่จำกัดสไตล์ ทำให้ผมได้ฟังลำโพงคู่นี้ในแต่ละวัน หลายชั่วโมง หลายหลากสไตล์ติดต่อกัน เต็มไปด้วยความสุข จะว่าไปก็คือแทบลืมสรรพสิ่งและโลกภายนอกไปเลย เป็นลำโพงที่ฟังแล้วได้ความเข้าถึงง่าย และพร้อมจะเป็นทุกสิ่งที่คุณอยากอยากให้เป็น 9. สรุปสุดท้าย KEF Q11 META เป็นลำโพงที่มีราคาไม่ถึงคู่ละแสนบาท ที่ให้ความสุขผู้ฟังได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถฟังทุกเสียงทุกแนวดนตรีอย่างเต็มอิ่ม ไม่เกี่ยงแอมป์ ไม่กินกำลังขับจากภาคขยาย ขับได้แม้แอมป์หลอด 9 วัตต์ ไปจนถึงแอมป์คลาส D ที่ 400 วัตต์ ถือว่าเร้นจ์กว้างมาก ยิ่งการฟังแผ่นเสียงจะเข้าถึงส่วนลึกของ พลังและน้ำหนักเสียงได้เป็นอย่างดี  และเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งที่ KEF ออกแบบเป็นลำโพงแบบขั้วลำโพงแบบเดี่ยว Single Wired ที่สร้างพลังเสียงเต็มอิ่มพร้อมความสมดุลของเสียงได้อย่างน่าประทับใจ KEF Q11 META ลงตัวได้พอดีกับดนตรีทุกสไตล์ครับ KEF Q11 META ราคาคู่ละ 95,900.- บาท  สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ทดลองฟังได้ที่ ร้านจำหน่ายเครื่องเสียงชั้นนำทั่วไป  หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: บริษัท วีแกดซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เลขที่ 9/7 ซ. รัชดาภิเษก 18 ถ. รัชดาภิเษก ห้วยขวาง กรุงเทพฯ โทร 02-692-5216 https://www.vgadz.com/kef/ https://www.facebook.com/KEFaudiothailand

KEF KW1 Wireless Subwoofer Adapter ตอบโจทย์เทคโนโลยีไร้สาย

KEF KW1 Wireless Subwoofer Adapter ตอบโจทย์เทคโนโลยีไร้สาย จากการทดสอบ KEF KUBE 12 MIE และการตัดสินใจนำเอา KEF KC62 ซับวูฟเฟอร์จิ๋วอัศจรรย์ มาประจำการในห้องฟังเป็นการส่วนตัว ซึ่งแน่นอนว่า หลักๆ เราจะต่อสายใน 2 รูปแบบในการใช้งาน      หนึ่งต่อจากช่อง line แบบ RCA (Line Input) หรือพ่วงด้วยสายลำโพง (Speaker Input) ที่ระบบของ KEF มีมาให้ทั้งสองรูปแบบ ในการฟังเพลง และดูหนัง Home Theater แต่ทางเลือกจากเทคโนโลยีของ KEF มีมากไปกว่านั้นคือ ทางเลือกที่สาม ระบบเชื่อมต่อไร้สาย      KEF ได้ออกแบบระบบ บ็อกซ์เชื่อมต่อไร้สาย มาให้ใช้งานด้วย KEF KW1 โดยจะเป็นกล่องอุปกรณ์ขนาดย่อม ที่สามารถนำมาใช้ได้กับซับวูฟเฟอร์ของ KEF ในรุ่น KUBE, KC62 และ KC92 ได้         ช่วยอำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ที่ใช้ระบบลำโพงของ KEF  KEF KW1 ทำให้เราสามารถวางซับวูฟเฟอร์ KEF ในตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดโดยไม่ต้องกังวลเรื่องสายเชื่อมต่อ การส่งสัญญาณแบบไร้สายที่มีคุณภาพสูง และ Latency ต่ำ ช่วยถ่ายทอดรายละเอียดและพลังเสียงจากภาพยนตร์และการฟังเพลงได้อย่างครบถ้วน      อุปกรณ์ชิ้นนี้ ประกอบด้วยตัวส่งสัญญาณ และตัวรับสัญญาณที่ออกแบบอย่างเรียบง่าย สามารถใช้งานร่วมกับแอคทีฟซับได้อย่างลงตัว      ตัวรับสัญญาณยังสามารถซื้อแยก หรือเพิ่มเติมได้ เพื่อให้สามารถใช้งานซับวูฟเฟอร์ KEF สองตัว ในการรับสัญญาณไร้สายเดียวกันจากตัวส่งสัญญาณเพียงตัวเดียว      KEF KW1 ดีไซน์ทางเทคนิคให้ทำงานบนย่านความถี่ 5.2GHz และ 5.8GHz หมดปัญหาการถูกรบกวนของคลื่น 2.4GHz ที่ถูกใช้งานจำนวนมากในระบบเสียงในปัจจุบัน โดยรองรับ Sampling Rate สูงถึง 24bit, 48KHz ทาง KEF การันตีว่า เสียงจึงคมชัดเสมือนต่อสาย มี Latency หรือค่าความหน่วงต่ำ ถึง <17ms (17 มิลลิวินาที) ให้การตอบสนองทันท่วงที ใกล้เคียงระบบสาย โดยเชื่อมต่อสัญญาณไร้สายได้ระยะไกลสูงสุด 30 เมตร (Line of Sight)      ทดลองใช้งาน KEF KW1      การนำ KEF KW1 มาใช้งานได้อย่างง่ายมากครับ แค่จัดเอา “ตัวส่ง” ต่ออะแดปเตอร์ไฟ แล้วไปผูกสัญญาณ (ต่อสาย RCA ) กับช่อง Sub Out ของแอมปลิไฟร์  และตัวรับก็นำมาต่อกับช่อง EXP (มีช่องต่อพินสี่พินเล็กๆ ในกรอบสี่เหลี่ยม) ที่ตู้ซับวูฟเฟอร์ของKEF เพียงเท่านี้เองครับ จากนั้นตัวรับและตัวส่ง จะ Pairing กันโดยอัตโนมัติ      ส่วนจะเลือกเป็นความถี่ 5.2 หรือ 5.8GHz เราทดลองกดเลือกดูได้ ซึ่งระบบของ KEF KW1 น่าจะเลือกต่อสัญญาณที่ดีที่สุดให้เป็นเบื้องต้นอยู่แล้ว      ผมได้นำ KW1 มาทดสอบร่วมกับซับวูฟเฟอร์สองรุ่น คือ KEF KC62 และ KEF KUBE 12 MIE       ในการทดสอบพบว่าให้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจมากทีเดียว สำหรับการส่งสัญญาณแบบไร้สายของ KEF KW1 เพราะความกังวล อาจจะเป็นเรื่องของ “การดีเลย์” สำหรับระบบไร้สายที่เคยมีมาในอดีต      แต่จากการใช้งานเปรียบเทียบระหว่างสายต่อตรงกับการใช้ระบบไร้สายแบบนี้ของ KEF KW1 ผมว่าฟังออกยากนะครับ       ดูเหมือนว่าผมก็ยังไม่สามารถจับความแตกต่างได้จริงๆ ว่า มันมีการดีเลย์ หรือหน่วงเวลาของระบบไร้สายหรือไม่ เพราะเท่าที่ใช้งาน ราบรื่นต่อเนื่องดีมาก ทำให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับความเป็นอิสระในการเลือกตำแหน่งวางตู้ซับไปได้ทุกตำแหน่งภายในห้องฟัง บางช่วงเวลาในขณะเซ็ตอัพ ผมทดลองนำเอาซับวูฟเฟอร์แยกออกไปห่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ภายในห้อง ที่ 4-5 เมตร ก็ยังพบว่ามันสามารถทำงานได้อย่างฉับไวโดยไม่รู้สึกขาดตอน   เข้าใจว่า ระบบไร้สาย อาจจะมีการดีเลย์ได้บ้าง แต่เท่าที่ทดสอบใช้งาน KW1 การดีเลย์ก็ไม่ได้มากพอที่เราจะรับทราบได้ง่ายดาย แม้แต่ความพยายามของผมที่นั่งฟังทดสอบแบบ “จับผิด” กันทั้งวัน ก็ฟังไม่ออกนะครับ ยังต้องยอมรับว่า ระบบของ KEF KW1 ทำได้ดีมากๆ        ดังนั้นการใช้งานระบบไร้สายภายในห้องก็น่าจะเข้าขั้นเพอร์เฟคดีทีเดียว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกไม่ต้องใช้สาย และในการเลือกตำแหน่งของตู้ซับค่อนข้างอิสระยิ่งขึ้นครับ KEF KW1 Wireless Subwoofer Adapter ราคา  7,990.- บาท สนใจสั่งซื้อ : https://www.vgadz.com/product/kef-kw1-wireless-subwoofer-adapter-black/ หรือติดต่อซื้อสินค้า KEF ได้ที่ตัวแทนจำหน่าย: https://www.vgadz.com/kef-dealer/ หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: บริษัท วีแกดซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เลขที่ 9/7 ซ. รัชดาภิเษก 18 ถ. รัชดาภิเษก ห้วยขวาง กรุงเทพฯ โทร 02-692-5216

Hattor Audio Ultimate Passive Pre-Amplifier & Ultimate Mono Power Amplifier ลึกซึ้งในเสียงดนตรีที่มีชีวิต

Hattor Audio Ultimate Passive Pre-Amplifier & Ultimate Mono Power Amplifier ลึกซึ้งในเสียงดนตรีที่มีชีวิต    เริ่มต้นปีศักราช 2568 ด้วยแอมปลิไฟร์ที่มีคุณสมบัติแตกต่างจากตลาดไฮเอ็นด์ออดิโอทั่วไปอย่างสิ้นเชิง นั่นทำให้รู้สึกว่า ปีนี้เราจะมีอะไรเพิ่มเติมวิถีทางออดิโอไฟล์ให้เข้าใกล้ดนตรีมากเป็นพิเศษ         บริษัท Hattor Audio มีสำนักออกแบบในประเทศสเปน และโรงงานผลิตอยู่ในโปแลนด์ ย่อมทำให้ผมแปลกใจยิ่งขึ้นว่า สาธารณรัฐโปแลนด์มีผลิตภัณฑ์ที่เราน่าจะคุ้นเคยต่อไปในอนาคตอีกหลายแบรนด์หรือไม่อย่างไร        การออกแบบที่สวยงามเกินบรรยาย หน้าดิสเพลย์พื้นไม้ธรรมชาติที่คัดเฉพาะ ทำให้ Hattor Audio นี้ ดูมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ มีขนาดเครื่องเท่ากันทั้งแพสสีพปรีแอมป์ และเพาเวอร์แอมป์ คลาส D โมโนบล็อก คือ กว้าง x ลึก x สูง : 27 x 25 x 9 เซนติเมตร           ปรัชญาและหลักการออกแบบของ Hattor Audio นั้นเน้นไปที่  • อุปกรณ์ชิ้นส่วนระดับ High Performance เพื่อให้มีค่าเบี่ยงเบนน้อยที่สุดตั้งแต่เริ่มต้น • ระบบ Fully Balanced ส่งผลให้เสียงสะอาดและมีไดนามิกมากขึ้นแยกช่องสัญญาณได้ดีขึ้น และมีเวทีเสียงที่ดีขึ้น • เส้นทางสัญญาณในวงจรลัด สั้นที่สุด ช่วยให้เสียงมีความแม่นยำยิ่งขึ้น โดยยังคงรักษาคุณลักษณะดั้งเดิมของดนตรีจากอินพุตเอาไว้ให้สมบูรณ์ • มีการตั้งค่าเกน อินพุต/เอาต์พุต และการควบคุมระดับเสียงที่แตกต่างกัน ด้วยรายละเอียดแต่ละสเตปอย่างแม่นยำ • การออกแบบและวิศวกรรมมุ่งเน้นไปที่ประสิทธิภาพสูงสุด ตั้งแต่วงจรไปจนถึงวัสดุของโครงสร้างเครื่อง ทุกอย่างล้วนได้รับการพิจารณาเพื่อลดการสั่นพ้องและการสั่นสะเทือน  • ในปรีแอมป์ของ Hattor เน้นโครงสร้างเกนขยายที่เหมาะสม ให้ช่วงไดนามิกที่กว้างและพื้นเสียงรบกวนต่ำ สามารถรับมือกับระดับสัญญาณที่แตกต่างกันได้โดยไม่ทำให้เกิดการบิดเบือน • องค์ประกอบของปรีแอมป์ และเพาเวอร์แอมป์ ออกแบบให้ลดการสั่นสะเทือน และสามารถป้องกันสัญญาณรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้าได้ในตัวเอง ทำให้ประสิทธิภาพและความบริสุทธิ์ของเสียงดีขึ้น     • Hattor Audio Ultimate Passive Pre-Amplifier เป็นความตั้งใจของผู้ออกแบบ ที่จะนำระบบแพสสีพ ปรีแอมป์ ที่เน้นคุณภาพอุปกรณ์ในวงจรที่ไม่มีไฟเลี้ยง หรือ Passive Pre-Amp ให้ทำงานร่วมกับเพาเวอร์แอมป์โมโนบล็อก Dual mono ระบบวงจรขยาย New Class D         ขออธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับแพสสีพ ปรีแอมป์ สักเล็กน้อย เพราะเป็นปรีที่น่าจะมีโอกาสให้สัญญาณรบกวนเข้าไปยุ่งกับมันน้อยที่สุด เนื่องจากเน้นที่เกรดอุปกรณ์เป็นหลัก ทั้งตัวเก็บประจุ ตัวต้านทาน และขั้วต่อระดับพรีเมียมที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน เพื่อประสิทธิภาพเสียงแบบบริสุทธิ์นิยม         ปกติปรีแอมป์แบบแพสสีพไม่ต้องการแหล่งจ่ายไฟ แต่จะใช้ส่วนประกอบแบบพาสซีฟ เช่น ตัวต้านทาน ตัวเก็บประจุ และบางครั้งมีหม้อแปลงเพื่อลดทอนหรือขยายสัญญาณกับตัวโวลุ่ม          แต่ Hattor Audio Ultimate Passive Pre-Amplifier ตัวนี้ ไม่มีหม้อแปลงใดๆ เลย ที่เห็นจากตัวจ่ายไฟ ซึ่งแยกออกจากตัวเครื่องนั้น มีไว้สำหรับ รีโมตคอนโทรล, บัฟเฟอร์ของขั้วต่อ RCA และ XLR Balanced  ไฟดิสเพลย์หน้าปัด แสดงตัวเลขโวลุ่ม และแหล่งอินพุต (เลือกปิดได้)           มีช่องต่อ XLR หนึ่งชุด RCA 2 ชุด สำหรับเชื่อมต่อเอาต์พุตสู่เพาเวอร์แอมป์          ส่วนอินพุตแหล่งสัญญาณขาเข้าแบบ XLR มี 3 ชุด และ อินพุต RCA  อีก 2 ชุด ซึ่งผู้ออกแบบแนะนำว่าถ้าทำได้ควรใช้ช่อง XLR เพื่อให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุด         ผมหาข้อมูลของ Hattor Audio ได้ไม่มากนักทางออนไลน์ แต่ในกลุ่มนักเล่นไฮเอ็นด์ ทางเว็บไซต์ ได้มีการกล่าวถึงกันมากพอดู         นักเล่นคนหนึ่งกล่าวว่า Hattor Passive Preamp ที่เขาเป็นเจ้าของอยู่นั้นยอดเยี่ยมมากในความเห็นของเขา โดยเขาเป็นเจ้าของปรีแอมป์ราคาติดเพดานไฮเอ็นด์ ประมาณ 20 ตัว โดยมีอย่างน้อย 2 ตัวที่มีราคาสูงกว่า 10,000 เหรียญ ‼️     • Hattor Audio Ultimate Mono Power Amplifier เพาเวอร์แอมป์โมโนบล็อกชุดนี้ เป็นวงจรขยายแบบ New Class D ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก Hattor Audio แสดงให้เห็นว่า เทคโนโลยีคลาส D ก้าวมาไกลสูงสุดถึงจุดอุดมคติแล้วจริงๆ เสียงที่สะอาด รายละเอียดดีเยี่ยม และมีพลังเกินพอสำหรับขับลำโพงทุกคู่         ขออธิบายนิดหนึ่งเกี่ยวกับแอมป์ คลาส D นะครับ หลายคนหรือแม้แต่ผมเอง บางครั้งก็อาจจะเผลอเข้าใจผิดว่า มันคือแอมป์ Digital แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่นะครับ          มันจะคล้ายกับแอมป์ คลาส T ที่คุณบ็อบ คาร์เวอร์ เคยนำเสนอในอดีต คือการทำงานด้วยระบบสวิตชิ่ง (Switching Power Supply) ภาคขยายจะทำงานในลักษณะสวิตช์ ปิด-เปิด ตามความถี่ของสัญญาณ Pulse Width Modulation (PWM)              ตามปกติภาคจ่ายไฟจะทำงานเต็มระบบไม่ว่าจะมีสัญญาณเข้ามาหรือไม่ จะมากหรือน้อย แต่สำหรับคลาส D จะขึ้นกับสัญญาณขยายเบา-แรง ไม่ต้องทำงานแบบเต็มที่ตลอดเวลา เครื่องจะไม่ร้อนเหมือนแอมป์คลาส A คลาส AB ทั้งหลาย  (รายละเอียดแอมป์คลาส D ผมจะหาเวลามาเขียนอีกครั้งนะครับ)           เทคโนโลยีแอมป์คลาส D ผ่านการพัฒนามายาวนาน ทำให้ปัจจุบันเป็นแอมปลิไฟร์ที่ บริษัทเครื่องเสียงไฮเอ็นด์หลายแห่งเลือกใช้งานครับ          Hattor Audio Ultimate Mono Power Amplifier นั้น ใช้เทคโนโลยีขยายเสียง nCore ล่าสุดจาก Hypex ด้วยระบบขยายสัญญาณแบบคลาส D ที่สมบูรณ์แบบ มีความผิดเพี้ยนต่ำ และมีเสถียรภาพในการขับลำโพงได้ทุกประเภท           เมื่อพิเคราะห์จากสเปคฯ นับว่าน่าทึ่งมาก ด้วยกำลังขับ 400 W/8 ohm, 700W/4 ohm, 550W/2 Ohm มีอัตราส่วนสัญญาณ ต่อเสียงรบกวน 125dB และถ้าดูตามสเปคฯ ให้ค่าความเพี้ยนทาง THD และ IMD เพียง 0.001 % ตอบสนองความถี่ได้ 2Hz – 50kHz 0/-3db        • ทั้ง 3 เครื่องนี้ มีขนาดกะทัดรัดอย่างน่าแปลกใจ เลยทีเดียว     ผลการทดสอบฟัง เป็นแอมป์ที่ถือว่า สวย รวยเสน่ห์ ตั้งแต่แรกเห็นแล้วละครับ เมื่อได้ฟังจริงบอกได้เลยว่า ทำให้ผมต้องนั่งอึ้งไปหลายนาที!!!         จุดแรกที่น่าสังเกตคือ เป็นชุดแอมปลิไฟร์ที่เสียงสะอาดสุดๆ ตลอดทุกย่านความถี่ หากจะเคยได้ยินเสียงดนตรีที่งดงามสะอาดสุดๆ แบบนี้ เปรียบเทียบได้ว่ามันเสียงสะอาดเท่าเทียมกับแอมป์ราคาชุดละห้าแสนถึงหนึ่งล้านกว่าบาทที่ผมเคยฟังครับ‼️         จริงอยู่ว่าหลายองค์ประกอบ อาทิค่าไดนามิค Dynamic การสะวิง แรงพั้นช์จะได้ไม่เท่าแอมป์หลอด ระดับล้านบาท แต่โดยรวมคุณภาพของมันก็หายใจรดต้นคอแอมป์ราคาสุดโต่งได้อย่างน่าแปลกใจ... คือในใจตอนทดสอบคิดว่าถ้าผมมีงบสองแสนบาท ผมต้องเลือก Hattor Audio ชุดนี้แน่นอน         เป็นชุดแอมปลิไฟร์ที่ทำให้ผู้ฟังเข้าถึงต้นฉบับเพลงที่บันทึกมาจากสตูดิโอแบบ “แนบชิดติดความเป็นจริง” ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ความสวยงามทั้งตัวเครื่องและคุณภาพเสียง เปิดประสบการณ์ที่ถือว่า ล้ำค่ามาก กับปรีแอมป์แพสสีพที่ไม่มีไฟเลี้ยงวงจร และเพาเวอร์แอมป์ New Class D เซ็ตนี้        Hattor Audio Ultimate Passive Pre-Amplifierและ Ultimate Mono Power Amplifier เป็นชุดเครื่องเสียงที่ทรงเสน่ห์จริงๆ ทำให้ได้คุณภาพอันล้นเหลือ ซึ่งสรุปความโดดเด่นได้ดังนี้ 1. มีความ CLEAN หรือความสะอาดของเสียงอย่างมากในทุกๆย่านความถี่ 2. รายละเอียดระยิบระยับครบถ้วน 3. พลังเสียงที่มาพร้อมกับความลื่นไหลต่อเนื่องของดนตรี อย่างน่าทึ่ง 4. เสียงมีความสง่างาม มีชีวิต ฉ่ำ เนียน ฮาร์โมนิคงดงาม 5. แยกแชนแนลได้แม่นยำ อิมเมจเสียงถือว่า เข้าขั้น “สุดทาง” 6. มีบุคลิก ที่ไม่ใช่บุคลิกของเครื่อง แต่เป็นบุคลิกของเสียงดนตรีแท้ๆ 7. รายละเอียดช่วงดนตรีแผ่วเบา นับว่ามีความครบถ้วนอย่างมาก 8. เป็นชุดปรี เพาเวอร์ ที่เข้าถึงอารมณ์ในการฟังเพลงทั้งดิจิตอลและอนาล็อกอย่างดีและใกล้เคียงกัน 9. ออกแบบได้ลงตัวทั้งศาสตร์และศิลป์ คุณภาพเสียงตรงตามต้นฉบับการบันทึกเสียงจากสตูดิโอ ไร้การปรุงแต่ง และรูปทรงเครื่องสวยงามเป็นพิเศษ        ข้อแนะนำ : ให้เลือกแมตช์กันทั้งชุด ปรี-เพาเวอร์ จะดีที่สุด และจับคู่ลำโพงที่มีความสะอาดเสียง จะแมตช์เป็นพิเศษครับ         Hattor Audio Ultimate Passive Pre-Amplifier & Ultimate Mono Power Amplifier ให้ความลึกซึ้ง และลึกล้ำในการฟังดนตรีอย่างไม่เคยสัมผัสมาก่อนครับ ราคารวมทั้งชุด 200,000.-  บาท (รับประกัน 3 ปี)  สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 096 978 7424 Msound line : m_240956  

Rega Nd3 / Nd5 / Nd7 Magnet Cartridge พัฒนาการหัวเข็ม MM ที่จะเปลี่ยนมาตรฐานไปตลอดกาล

Rega Nd3 / Nd5 / Nd7 Magnet Cartridge พัฒนาการหัวเข็ม MM ที่จะเปลี่ยนมาตรฐานไปตลอดกาล       หลังจากได้สัมภาษณ์ รอย แกนดี้ เจ้าของและผู้ออกแบบ Rega ซึ่งเขาได้เปิดเผยว่า ทีม วิศวกรของบริษัทร่วมกันออกแบบหัวเข็มแผ่นเสียงชุดใหม่ ทั้งหัวเข็มแบบ MM และ MC  ซึ่งถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ทั้งหมดของโครงสร้างและระบบหัวเข็มเล่นแผ่นเสียงในปัจจุบัน           และก็ได้มีโอกาสนำเอาหัวเข็ม3 รุ่นมาทดสอบใช้งาน คือ Rega Nd3  Rega Nd5 และ Rega Nd7 ที่ใช้ปลายเข็มแบบเพชร ที่เป็นผลลัพธ์จากการวิจัย พัฒนามายาวนานกว่า 10 ปี และนี่คือการยกระดับมาตรฐาน Cartridge ขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง โดยเทคโนโลยีนี้ Rega ได้นำขึ้นจดสิทธิบัตร           หัวเข็มตระกูล Nd ทั้งหมด ถือว่าเป็นรายแรกของโลก ที่ใช้แม่เหล็กนีโอ-ไดเมียมกำลังสูงพิเศษในการออกแบบหัวเข็มชนิดแม่เหล็กที่เคลื่อนที่หรือ MM: Moving Magnet เป็นการออกแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวโดยสิ้นเชิง        เป็นการออกแบบที่ยากลำบากที่สุดเท่าที่เคยมีการพัฒนาและดีไซน์หัวเข็มแผ่นเสียง          การใช้ปลายเข็มเพชรที่มีโครงสร้าง "เส้นละเอียด" และทันสมัยที่สุดก็เพื่อผลการเกาะร่องแผ่นด้วยรายละเอียดขั้นสูงสุด สามารถเทียบเคียงได้กับ MC ระดับไฮเอนด์ Apheta 3 และ Aphelion ของ Rega เองเลยทีเดียว        โครงสร้างของเนื้อเพชร ที่สร้างขึ้นโดยหลักการทางเคมีคัลขั้นสูงสุด ให้ตกผลึกแบบคริสตัลเชิงเดี่ยว Monocrystalline ขนาดเล็กเป็นพิเศษ ผ่านขั้นตอนการเจียรไน เป็นรูปทรง Fine Line จะมีรูปแบบที่มีพื้นที่สัมผัสแคบที่สุด โดยมีรัศมีเพียง 3µm (ไมครอน) เมื่อมองจากด้านบน และ 30µm ในแนวตั้งเมื่อมองจากด้านหน้า            ปลายเข็มเพชรโพลีคริสตัลไลน์คุณภาพสูง ที่สร้างขึ้นนี้จะถูกยึดติดกับก้านอลูมินั่มกลม คุณสมบัติใหม่นี้ช่วยให้สามารถรับสัญญาณการเปลี่ยนแปลงขนาดเล็กสุดในไวนิลได้อย่างแม่นยำในทันที อีกทั้งการยึดเกาะร่องจะเหนือกว่าหัวเข็มทั่วๆ ไป          เนื่องจากพื้นที่สัมผัสเล็กจิ๋วของปลายเข็มเพชร จะส่งผลให้สามารถดึงรายละเอียดในระดับที่ยอดเยี่ยมออกมาได้ครบถ้วนที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างหัวเข็มแบบ MM ขึ้นมา          ในการออกแบบใช้รูปทรงเรขาคณิตของเครื่องกำเนิดใหม่ล่าสุดที่มีความสมมาตรที่สมบูรณ์แบบ เพื่อให้ได้ความสมดุลของช่องสัญญาณ ทั้งซ้าย ขวา ที่มีความแม่นยำสูง           นอกจากนี้หัวเข็มตระกูล Nd ยังมีช่องว่างระหว่างขั้วที่ได้รับการปรับปรุงเพื่อคุณสมบัติเชิงเส้นตรงและสัญญาณครอสทอล์ค (แยกแชนแนล) ที่เหนือกว่า ซึ่งจะให้เวทีเสียงที่กว้างกว่ารุ่นก่อนๆ มาก คาร์ทริดจ์ใหม่นี้ถูกสร้างขึ้นด้วยคอยล์คู่แบบขนาน ที่มีขนาดจิ๋ว         ซึ่งคอยล์นี้จะพันในตัวเรือนของหัวเข็มโดยใช้ลวดขนาด 38 ไมครอน และจะพันรอบหมุนเพียง 1,275 รอบพอดี          ด้วยหลักการคำนวณอันพิถีพิถันนี้ จะกำเนิดค่าความต้านทานต่ำ และค่าต้านทานแบบเหนี่ยวนำที่ต่ำลงด้วย ซึ่งก็จะทำให้การตอบสนองความถี่สูงได้รับการพัฒนาย่านความถี่ที่ดีขึ้นอย่างมาก          การประกอบตัวเรือนหัวเข็มทั้งชุด ด้วยโพลีฟีนลีนซัลไฟด์ (PPS) ที่ทำจากแก้วฉีดขึ้นรูปซึ่งมีความทนทาน จัดเป็นวัสดุที่มีน้ำหนักเบาและมีความแข็งแกร่งสูง มีมวลต่ำ ทำให้มีผลช่วยลดความเครียดบนแบริ่งโทนอาร์ม และเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ            หัวเข็ม Nd7 จะถูกนำเสนอเป็นตัวเลือกที่ติดตั้งมาจากโรงงานในเครื่องเล่นแผ่นเสียง รุ่น Planar 6 และ Planar 8           หัวเข็ม Nd5 จะถูกนำเสนอเป็นตัวเลือกที่ติดตั้งมาจากโรงงานในเครื่องเล่นแผ่นเสียงรุ่น Planar 3 และ Planar 6           หัวเข็ม Nd3 จะถูกนำเสนอเป็นตัวเลือกที่ติดตั้งมาจากโรงงานในเครื่องเล่นแผ่นเสียงรุ่น Planar 2 และ Planar 3         และเพื่อให้สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของ Rega ต่อความยั่งยืน กลุ่มผลิตภัณฑ์ Nd จึงมีจำหน่ายอยู่ในบรรจุภัณฑ์รีไซเคิลได้ 100%        เท่าที่พิจารณา จากรายละเอียดหัวเข็มทั้ง 3 รุ่น มีข้อแตกต่างที่ชัดเจนคือ • รุ่น Nd7 ปลายเข็มทรง Fine line nude diamond จะมีขนาดเล็ก และแทรกตัวลงในร่องแผ่นได้แนบสนิทที่สุด  • รุ่น Nd5 ปลายเข็มจะเป็นรูปทรง Elliptical nude diamond stylus  • รุ่น Nd3 ปลายเข็มเป็นทรง Bonded Elliptical      ทั้งหมดนี้ ทางโรงงานผู้ผลิตได้ระบุค่าน้ำหนักหัวเข็มอยู่ที่ 1.75 กรัม และหัวเข็ม Rega มีความพิเศษก็คือมีจุดยึดสามจุด ซึ่งเมื่อใช้กับเครื่องเล่นแผ่นเสียง โทนอาร์ม แบรนด์เดียวกันจะเหมาะสมมาก     Test Report ผมเริ่มทดสอบหัวเข็มทั้ง 3 รุ่น สลับเรียงกันไปจากรุ่น Nd3, Nd5 และ Nd7 ด้วยเครื่องเล่นแผ่นเสียง Pro-Ject Debut2  รุ่น Limited สีเหลืองสด และมีการสลับไปใช้กับ Rega P10 ด้วย        แรกสุดทดลองตั้งค่าน้ำหนักแบบเบากว่าสเป็คฯ ที่ 1.5 กรัม  พบว่า Rega Nd เป็นหัวเข็มที่เกาะร่องแผ่นได้ดีมากๆ  แม้จะตั้งน้ำหนักเบากว่าปกติ เจอแผ่นไวนีลที่บิดงอเล็กน้อย จะไม่มีอาการ เหิน กระโดด หลุดร่อง         จากนั้น จัดปรับตั้งค่าน้ำหนักหัวเข็ม ตามสเป็คฯ ให้พอดีๆ คือที่ 1.75 กรัม (ใช้เครื่องชั่งน้ำหนักของ Van den hul) เพื่อค้นหาว่า คุณภาพเสียงหัวเข็มรุ่นพัฒนาใหม่ของ Rega Nd Series นั้น สมบูรณ์แบบแค่ไหน      บทสรุป มีดังนี้ 1. คุณภาพเสียงมีความโปร่งสะอาดรายละเอียดดีไม่แพ้หัวเข็มประเภท MC โดยเฉพาะช่วงปลายเสียงแหลม ถือว่าก้าวกระโดดจากหัวเข็มรุ่นก่อนหน้าของ Rega เป็นอย่างมาก  2. บุคลิกเสียงโดยรวมออกแนวสุภาพๆ สมจริง แต่ให้เนื้อหนังโดยรวมดูอิ่มลึกในช่วงเสียงต่ำมากยิ่งขึ้น ตรงนี้อาจจะเป็นสิ่งที่โดดเด่นไปกว่าหัวเข็มประเภท MC ทั่วไป 3. ผมรู้สึกนะครับว่าการแยกแชนแนลโดยเฉพาะรุ่น Nd7 ทำได้อย่างน่าทึ่ง สังเกตได้จากจุดตำแหน่งชิ้นดนตรีและเวทีเสียง ระหว่าง Nd5 และ Nd7 จะมีความใกล้เคียงกัน ยกเว้นรายละเอียดที่แผ่วเบา ลึก Nd7 ยอดเยี่ยมที่สุด 4. หัวเข็ม Nd3 จะรักษาโทนัลบาลานซ์ได้เท่าเทียมกับ Nd5 และ Nd7 ถือว่าให้มาตรฐานคุณภาพเสียงที่คุ้มค่ามาก Rega Nd3 จะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของหัวเข็มในระดับราคาเดียวกัน เพราะ ความ Clean ของสัญญาณเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด หรือเรียกว่า กินขาดจริงๆ (เปรียบเทียบจากหัวเข็มที่ผมใช้อยู่ในราคานี้) 5. การรักษาโทนัลบาลานซ์ของหัวเข็มทุกรุ่นทำได้ดีเยี่ยม การกล่าวถึงเสียงอนาล็อกแท้ๆ Rega Nd Series น่าจะเป็นต้นแบบที่ดี ข้อสำคัญก็คือว่า Rega ได้สร้างมาตรฐานใหม่ของหัวเข็มสำหรับเล่นแผ่นเสียงขึ้นมาแล้ว คือในระดับราคาเดียวกัน Rega Nd3 / Nd5 / Nd7 คือ New Standard ครับ 6. เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับหัวเข็มชุดนี้ แม้จะออกแบบมาให้ใช้ได้ทั่วไป แต่ก็แมตช์กับโทนอาร์ม และเครื่องเล่นแผ่นเสียงของ Rega มากที่สุด โดยเฉพาะการมีจุดยึดกับเฮดเชลล์สามจุดดังกล่าว         การพัฒนาหัวเข็มแผ่นเสียงของ Rega Research ถือเป็นการก้าวสู่ยุคใหม่ และมาตรฐานใหม่ของหัวเข็มแผ่นเสียงที่มีราคาและคุณภาพน่าประทับใจอย่างยิ่งครับ Rega Nd3 ราคา 8,600.- บาท Rega Nd5 ราคา 15,000.- บาท Rega Nd7 ราคา 22,000.- บาท สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ตัวแทนจำหน่าย Komfort Sound โทร. 083 758 7771  

KEF KUBE 12 MIE เสริมความถี่ต่ำให้อิ่มสมจริงและสมดุล

KEF KUBE 12 MIE เสริมความถี่ต่ำให้อิ่มสมจริงและสมดุล  ท่ามกลางกระแสวิพากษ์อย่างกว้างขวางในการนำแอคทีฟซับวูฟเฟอร์ มาเสริมในลำโพงหลัก มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย มีทั้งคนพร้อมเปิดใจรับ กับผู้ที่ “หัวเด็ดตีนขาด” ก็ไม่เอา          วิวาทะทั้งหลายในกระแสวิพากษ์ วิจารณ์ทั้งสองฝั่งฟากแนวคิดนั้น ผมก็มีมุมมองของตัวเองเช่นกันคือ  1. ไม่ได้เห็นด้วยว่า การจัดชุดซิสเต็มฟังเพลงสองแชนแนล ชุดเล็ก-ชุดใหญ่ ชุดไหนๆ ก็ต้องพ่วง Sub-Woofer เสมอไป 2. และก็ไม่ได้เห็นด้วยว่า ถ้าจัดชุดเครื่องเสียงฟังเพลง 2 แชนแนล ห้าม Sub-Woofer มาปรากฏกายในชุดเด็ดขาด ถือเป็นข้อต้องห้าม (ของใครไม่ทราบเหมือนกัน?)            ทุกอย่างควรขึ้นกับ หลักการ เหตุผล ในเรื่องของห้อง ซิสเต็ม ความต้องการของผู้ฟัง สไตล์เพลง ที่ออดิโอไฟล์แต่ละท่านย่อมมีข้อจำกัดอันแตกต่างกันไป            ***ได้แสดงทัศนะไปหลายครั้งแล้วในเพจแห่งนี้ ซึ่งผมจะมีลิ้งก์บางส่วนมาแปะไว้ท้ายบททดสอบ KEF KUBE 12 MIE ดังนี้นะครับ*** https://www.facebook.com/share/19hTvJ8DcG/?mibextid=wwXIfr https://www.facebook.com/share/14iLfWiC1K/?mibextid=wwXIfr https://www.facebook.com/share/12EY4Ypys58/?mibextid=wwXIfr https://www.facebook.com/share/1A3TRMvdGt/?mibextid=wwXIfr https://www.facebook.com/share/p/14xjoKZyRe/?mibextid=wwXIfr https://www.facebook.com/share/p/14yFmR4uz4/?mibextid=wwXIfr            ความเห็นส่วนตัว การใช้หรือไม่ใช้ ผมยึดหลัก High Fidelity คือ ความเสมือนจริง และการย่อสเกลดนตรีจริงมาไว้ในห้องฟัง            ถ้าผู้ฟังรู้สึกได้ถึงความพอดีแล้ว ก็ไม่ต้องไปเติมอะไร แต่ถ้าสียงย่านความถี่ต่ำไม่พอ ก็สามารถจะเสริมให้มัน “พอดี” ยิ่งขึ้นได้  แต่ไม่ใช่เติมให้มันเกินจากเสียงดนตรีจริง หรือเกินกว่าสิ่งที่ Studio เขาบันทึกมา อันนี้ย่อมไม่ใช่แนวทาง และจุดประสงค์ การใช้ Sub-Woofer ของผมครับ           จากนี้ไปคือผลการทดสอบใช้งาน KEF KUBE 12 MIE ที่มีบทสรุปน่าสนใจ บันทึกเอาไว้ให้พิจารณากัน • การพัฒนาของบริษัทลำโพงระดับโลก อย่าง KEF นั้น มีรากฐานมายาวนานนับแต่กำเนิดในปี 1961 (63ปี) การออกแบบสินค้าใดขึ้นมาใหม่ จะมีเหตุและผลรองรับ โดยเฉพาะความก้าวหน้าในเทคโนโลยี ที่ดีขึ้นและเอื้อประโยชน์กับผู้ใช้งานจริงๆ         ส่วนตัวผมก็เป็นหนึ่งในผู้ใช้สินค้าของ KEF อย่างเช่น KEF BBC Monitor LS3/5 A ได้จัดเอา KEF KC62 มาเสริมความถี่ต่ำ สลับกับ Rogers AB1  (Passive Sub-Woofer)           เพราะเมื่อฟังดนตรีบางประเภทเช่น วงแจ๊ส บิ๊กแบนด์ ซอฟท์ร็อค และคลาสสิกคัล มันมีความจำเป็นตามสมควรสำหรับผม          หรือลำโพง BBC Monitor Rogers LS3/5 A ผมตัดสินใจซื้อแอคทีฟซับ Rogers AB3a มาใช้งานร่วมกันเป็นเซ็ต  เพราะลำโพงหลักในตระกูลนี้ ลงความถี่ต่ำลึกได้เพียง 70Hz เท่านั้น        ดังนั้น เหตุและผล จึงเป็นไปตามความต้องการของตนเองเป็นหลัก        • KEF KUBE MIE นั้น เป็นความพยายามพัฒนาแอ็คทีฟซับวูฟเฟอร์ ที่ดีไซน์แต่เดิมใช้งานเฉพาะสำหรับโฮมเธียเตอร์ ให้เพิ่มความสามารถตอบสนองการฟังเพลงด้วย           พัฒนาถึงจุดที่ มีการใช้ระบบ DSP (Digital Signal Processor) ที่คิดค้นเองมาช่วยควบคุมการทำงานระบบ SUB ให้สนองตอบการฟังด้วยกันทั้งสองรูปแบบ         และแอคทีฟซับวูเฟอร์ KEF รุ่นที่ผมเลือกมาทดลองใช้งานคือ KUBE 12 MIE ที่สามารถลงความถี่ต่ำได้ลึกถึง 22Hz ต้องการให้มาเสริมช่วงต่ำกว่า 48Hz ของลำโพงหลัก KEF Q Concerto META             ความหมายระบบ DSP ที่อัพเกรดให้เหมาะกับการฟังเพลง  MIE : Music Integrity Engine เป็นระบบ Digital Signal Processor ซึ่ง KEF ค้นคว้า วิจัยพัฒนาขึ้นมาด้วยตนเองอย่างยาวนานหลายปี เพื่อการควบคุม  แอคทีฟซับวูฟเฟอร์ ให้ผลักอากาศได้แม่นยำ ฉับไว เสียงบริสุทธิ์ ความเพี้ยนต่ำ สามารถให้ความกลมกลืนลำโพงหลักได้ง่าย      จุดตัดความถี่สูงสุด KEF จงใจออกแบบให้อยู่ไม่เกิน140Hz และปรับค่าลงไปได้ต่ำสุดที่40Hz          KUBE 12 MIE มีโครงสร้างตู้เป็นตู้ปิดทึบ Acoustic Suspension ตัวขับเสียงขนาด 12 นิ้วยิงเสียงออกด้านหน้า ช่วยให้ง่ายต่อการจัดวาง และยิงเสียงไปในทิศทางเดียวกันกับลำโพงหลัก           คุณสมบัติอีกส่วนหนึ่ง IBX หรือ Intelligence Bass Extension โดยในส่วนนี้ จะทำหน้าที่คำนวณสัญญาณเสียงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เบสความสมจริงลงลึก และคงไว้ซึ่งไดนามิคหรือพลังตลอดระดับความดังของเสียง             KUBE 12 MIE มี Room Position EQ สามตำแหน่งให้เลือกวาง และปรับใช้ในสภาพความเป็นจริงในห้องคือ •  In Room วางในห้องทั่วไป •  Corner วางเข้ามุมห้องที่เป็นมุมชนกัน 90 องศา  •  Wall / Cabinet วางชิดผนังด้านใดด้านหนึ่ง          มี Power Mode เลือกเปิดตลอดเวลา หรือเปิดเมื่อมีสัญญาความถี่ต่ำเข้า และใช้งานแบบ12 V trigger           KEF ดีไซน์ แอคทีฟซับวูฟเฟอร์ KUBE MIE ทั้งหมด4 รุ่นคือ KUBE 15 MIE, KUBE 12 MIE, KUBE 10 MIE และ KUBE 8 MIE          ตัวขับเสียงเป็นแบบเดี่ยว ยิงแบบ Front Firing ขนาดวูฟเฟอร์ ให้ดูที่รหัสรุ่นได้เลย คือ 15-12-10 และ 8 นิ้วตามลำดับครับ          การเลือก KEF KUBE 12 MIE มาทดสอบ เพราะเป็นรุ่นกลาง พอเคราะห์แล้ว เหมาะกับ KEF Q Concerto META และเพื่อการบาลานซ์ที่ดีผมนำมาใช้ 2 ตู้ ทั้งแชนแนลซ้าย และขวา          สำหรับกำลังขับในตัวตู้ของ KEF KUBE 12 MIE คือ 300 วัตต์ คลาส D ขนาดตู้ 410 x 393 x 410 มิลลิเมตร ตอบสนองความถี่ 22Hz - 140Hz (±3dB) ตัวขับเสียงขนาด 12 นิ้ว ยิงเสียงออกด้านหน้า             • ผลจากการเซ็ตอัพ KEF KUBE 12 MIE ภายในห้องของผมที่มีพื้นที่ ขนาด 3.5 x 4.5 เมตร            KEF KUBE 12 MIE เลือกต่อสัญญาณ ได้ทั้งแบบ High (พ่วงสายลำโพง) และช่อง Smart Connect LFE แต่ผมเลือกต่อจากช่อง Smart Connect LFE ที่ช่อง RCA หลังจากทดสอบ Setup ก็ได้ระยะการวางที่เหมาะสมคือ 1. วางตู้ซับให้อยู่ริมด้านนอกลำโพงหลัก 2. ให้แนวระนาบด้านหน้าของ KEF KUBE 12 MIE อยู่เสมอกับลำโพงหลัก 3. ระยะห่างผนังหลัง อยู่ที่ 90 เซ็นติเมตร 4. ระยะห่างผนังด้านข้างประมาณหนึ่งฟุต หรือ 30 เซนติเมตร  5. เลือกจุดตัดความถี่ต่ำ หรือ Cross over point ที่ 50Hz  6. เลื่อนระดับโวลุ่มไปที่ประมาณ บ่าย 13.00 น. (Phase เฟส 0) 7. เลือกโหมดการใช้งานที่ Always  8. เลือกโหมด EQ ที่ In-roomก่อนปรับเซ็ตเสียง          ให้เสียงที่กลมกลืนน่าพึงพอใจมากในการทำงานระหว่าง KEF Q Concerto META และ KUBE 12 MIE ถือว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมลงตัว          ที่น่าสนใจคือ ปุ่ม Phase ผมปรับไว้ที่ ศูนย์ 0 ตลอด โดยไม่ต้องปรับมาทาง 180 องศา แต่อย่างใด         ตัวตู้ KUBE 12 MIE มีการใช้ผ้าหุ้มสีดำจากด้านหน้าไปจรดด้านหลังมิดชิดให้ความรู้สึกสัมผัสเป็นชิ้นเดียวกัน   ***สำหรับห้องอื่นๆ อยากจะเริ่มต้นในแบบอย่างที่ผม Set up นี้ ก็ได้ครับ แล้วประยุกต์ ปรับแต่ง Set up เพิ่มเติม***         • เทคนิคในการปรับ  พยายามตั้งจุดตัดครอสโอเวอร์ไปทางความถี่ต่ำลึก 40-50-60 Hz เอาไว้ก่อน - ปรับปุ่ม Volume คู่กับจุดตัดความถี่ แล้วเร่งไปจนถึงจุดที่ได้ยินเสียงจากซับวูฟเฟอร์โดดเด่นถนัดชัดเจน จนรู้สึกได้ง่าย  - และจากนั้น ค่อยๆ ลดระดับลงเหลือแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยินเสียงจากการทำงานซับวูฟเฟอร์ - จากนั้น ให้เราปรับหาจุดกลางระหว่างสองจุดดังกล่าวนั้น ว่าตรงที่ใด กลมกลืนกับลำโพงหลักที่สุด - ในขณะที่ปรับ อาจจะมีบางช่วงที่ความถี่ต่ำจาง หรือความถี่ต่ำโด่งเป็นช่วงจังหวะตามเสียงดนตรี  - แสดงว่า ปรากฏการณ์นั้น เราจะต้องปรับ ขึ้นมาทาง 60-80Hz หรือลดลงไปทาง 40Hz อย่างใดอย่างหนึ่ง (ค่าจุดตัดสูงสุดอยู่ที่ 140Hz)         ตรงนี้จะเป็นจุดที่ Sensitive ดังนั้น ใช้เวลาปรับซ้ำๆ ดูหลายๆ รอบ เพื่อหาจุดสมดุล ไม่ต้องรีบร้อนครับ - ในการปรับใช้กับระบบโฮมเธียเตอร์ที่ช่อง .1 Channel อาจจะเริ่มจาก 60Hz ขึ้นไปหา 80Hz ซึ่งตรงนี้น่าจะต้องใช้ภาพยนตร์ที่ชมบ่อยๆ และคุ้นเคยครับ - ผมใช้ Life Audio Signature Mellow ตัวรอง มาเสริมขาทั้งสี่มุม ให้ความกระชับเสียงต่ำดีขึ้นไปอีก         ดังนั้นท่านใดจะพิจารณาหาอุปกรณ์ ตัวรองมาเสริมกำจัดไวเบรชั่นส่วนเกินก็จะยิ่งดีครับ  - หากไม่อยู่ในลักษณะ หรือระยะเดียวกับที่ผมเซ็ตอัพ ให้เลือก EQ ตามลักษณะการวางก่อนแล้วค่อยปรับหาความสมดุลได้ครับ ทั้ง In Room Corner, Wall / Cabinet    บทสรุปสำหรับ KEF KUBE 12 MIE คือ - เป็นเรื่องที่น่าพึงพอใจมาก เพราะซับรุ่นใหม่นี้กลับปรับ Set up ไม่ยากอย่างที่คิดเอาไว้เลย  - เทียบเคียงกับตู้ซับที่ผมเคยปรับมาแล้ว KUBE 12 MIE ถือว่าง่ายที่สุดครับ - แน่นอนว่า การกลมกลืนเข้ากันได้ระหว่าง KEF Concerto META กับ KUBE 12 MIE ถือว่าลงตัวแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกัน - เมื่อใช้ KUBE 12 MIE กับลำโพงหลักต่างแบรนด์กัน เอาเฉพาะลำโพงที่ผมซื้อไว้ใช้เองหลายคู่ หลายแบรนด์ พบว่าจะไม่สมดุลกับลำโพงแนววินเทจรุ่นเก่านัก            แต่กับลำโพงอย่าง ELAC ตั้งแต่ BS403, PSB Alpha P5 , NHT SuperOne 2.1 กลับให้ความกลมกลืน ปรับง่าย แสดงถึงว่า ลำโพงยุคใหม่ทั้งหลาย น่าจะใช้ร่วมกันได้ แม้จะต่างแบรนด์ ดังนั้นให้ลองหาโอกาสฟังจริงก่อนตัดสินใจ   ข้อแนะนำ - ห้องขนาด 12 -15 ตารางเมตรขึ้นไปสามารถใช้ KUBE 12 MIE สองตู้ได้    ถ้าต่ำกว่า ขนาด 12 ตารางเมตรลงมา ควรใช้รุ่น KUBE 12 MIE เพียงตู้เดียว หรือ KUBE 10 MIE , KUBE 8 MIE สองตู้แทน  - การใช้ซับ ตู้เดียว หรือ 2 ตู้ ควรพิจารณาจากขนาดห้อง และสไตล์เพลงที่คุณฟังเป็นหลักนะครับ - สำหรับลำโพงขนาดเล็ก อาทิ LS3/5 A Harbeth P3 ESR, ProAc Tablette 10 เหล่านี้จะปรับให้สมดุลกับ KEF รุ่น KC62 ง่ายกว่า อันเนื่องจากขนาดและดีไซน์      จุดเด่น KEF KUBE 12 MIE  - ปรับเซ็ตอัพง่าย ระบบลำโพงทำให้โอกาส Boom น้อยอย่างยิ่ง - เมื่อปรับได้ลงตัว ไม่ใช่แค่เสริมเสียงต่ำให้สมบูรณ์ขึ้น แต่จะให้เสียงกลางเสียงร้องดูอิ่มฉ่ำขึ้นอีก อย่างเห็นได้ชัด - ฟังเพลงจากอัลบั้มคลาสสิก Telarc ดูเหมือนฟิลลิ่งของวงออกเคสตร้ายิ่งใหญ่ขึ้นมาก โดยเฉพาะเวทีเสียงที่โอ่อ่า  - ขั้วต่อด้วยสายลำโพง (EXP) ดูจะเป็นขั้วต่อที่เล็กไป จึงแนะนำให้ต่อ Line Level ทาง RCA ดีกว่า และสายไฟ AC จะเป็นขั้วแบบ C7 ธรรมดา (ไม่ใช่แบบ IEC มีกราวนด์) แนะนำให้อัพเกรดสายที่ดีกว่าได้ครับ การเสริม Active-Subwoofer ควรจะพิจารณาตามความเหมาะสม ตามที่เรียนไว้เบื้องต้นในเรื่องของรสนิยม หรือขนาดห้อง และข้อจำกัดของคุณเสมอ          แต่ต้องไม่ลืมพิจารณาเรื่องความสมดุลของย่านความถี่เป็นสำคัญ     ยกตัวอย่าง ให้เห็นชัดขึ้น คือคุณจะพึงพอใจเล่นลำโพงเดี่ยว แบบตั้งพื้นคู่เดียว อาทิ KEF รุ่น Q11 Meta หรือเลือกทางที่สอง KEF Q Concerto Meta ผนวก KEF KUBE 12 MIE อันเนื่องจาก ขนาดห้อง ความสะดวก ความสมดุลในการจัดตำแหน่ง และข้อจำกัดรวมถึงความต้องการของตนเอง ทุกอย่างมีทางให้เลือกเสมอ KEF KUBE 12 MIE ราคาตู้ละ 39,900.- บาท  สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ทดลองฟังได้ที่ ร้านจำหน่ายเครื่องเสียงชั้นนำทั่วไป  หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: บริษัท วีแกดซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เลขที่ 9/7 ซ. รัชดาภิเษก 18 ถ. รัชดาภิเษก ห้วยขวาง กรุงเทพฯ โทร 02-692-5216 https://www.vgadz.com/kef/ https://www.facebook.com/KEFaudiothailand

MOONRIVER AUDIO MODEL 505 HYBRID PHONO STAGE ความละเมียดละไมที่งดงามของอนาล็อก

MOONRIVER AUDIO MODEL 505  HYBRID PHONO STAGE ความละเมียดละไมที่งดงามของอนาล็อก นี่คือ 505 PHONO STAGE ของ MOONRIVER AUDIO ที่จะตอบสนองทุกความต้องการของนักเล่นแผ่นเสียงผู้ชื่นชอบเสียงไวนิลทุกคน ได้รับการออกแบบมาโดยคำนึงถึงนักเล่นแผ่นเสียง นักสะสมแผ่นเสียง และผู้ที่ชื่นชอบแผ่นเสียงไวนิล โดยมีอินพุต 4 ชุด วางตำแหน่งปุ่มปรับค่าและสวิตช์เฉพาะที่เหมาะกับหัวเข็ม MC หรือ MM จุดเด่นคือเล่นไป ปรับไปได้ ช่วยให้สามารถทดสอบการฟังได้แบบ “ทันที” ด้วยการปรับแต่งต่างๆ โดยไม่ต้องปิดเครื่อง ถอดฝาครอบ เปิดเครื่องใหม่อีกครั้ง หรือรออุ่นเครื่อง          อาจจะแปลกที่ระบบวงจรขยาย มีการการออกแบบ “ไฮบริด” คือ ผสมผสานการใช้ไอซีและวงจรโซลิดสเตตแบบแยกส่วนเพื่อสร้างวงจรประสิทธิภาพสูงที่เหมาะสม และมีเสียงรบกวนต่ำมาก ในขณะที่มีการใช้ออปแอมป์ไอซีซึ่งให้ระดับสัญญารบกวนต่ำมาก ทุกวงจรจะเป็นวงจรแบบแยกส่วน ให้พลังเสียงและความถี่ไดนามิกที่สมจริง ซึ่งไม่สามารถหาได้จากออปแอมป์ไอซีอื่นๆ ทั่วไป             หลังจากการ Test Report อย่างจริงจังสองสัปดาห์ ที่ผ่านมา ผมแปลกใจมาก คิดว่า น้ำเสียงฉ่ำ ฮาร์โมนิกสวยๆ เหมือนได้ฟังเครื่องหลอดซูเปอร์ไฮเอ็นด์ แบบนี้ มาจากวงจรไฮบริด แน่หรือ? นี่เรากำลังจะหลงมนต์เสน่ห์เสียงอนาล็อกจาก MOONRIVER 505 HYBRID PHONO STAGE อย่างถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้วครับ        เคยได้ยินคำกล่าวของนักออกแบบระดับโลกบอกกับผมว่า           “คุณอย่าไปฝังใจว่าวงจรหลอดสุญญากาศเท่านั้นที่จะให้เสียงฉ่ำหวาน ฮาร์โมนิกสวยๆ วงจรโซลิดสเตตที่ดี ที่คนออกแบบเก่งจริง สามารถทำให้เสียงหวานฉ่ำเท่าหลอด และอาจจะดีเลยขอบเขตนั้นได้ด้วย เพราะหัวใจสำคัญคือการขจัด Noise ที่สร้างความระคายหู นั่นเอง”          ด้วยความหลงใหลในเพลง Moon River จากภาพยนตร์ Breakfast at Tiffany's (1961) อาจเป็นตัวดึงดูดให้วิศวกร เจ้าของแบรนด์ ตั้งใจใช้ชื่อ MOONRIVER นี้ และออกแบบผลิตด้วยมือทุกขั้นตอนในประเทศสวีเดน และพวกเขาเชื่อมั่นว่า วงจรโซลิดสเตต หลอดสุญญากาศ หรือ ไฮบริด ก็สามารถถ่ายทอดเสียงดนตรีอย่างเที่ยงตรงได้เฉกเช่นเดียวกันถ้าออกแบบได้อย่างถูกต้อง         ผมชอบคำอรรถาธิบาย จุดประสงค์ของ MOONRIVER AUDIO 505 HYBRID PHONO STAGE ที่ว่า          “เป็นความมุ่งมั่นที่จะสร้างสมดุล ในเส้นแบ่งที่ละเอียดอ่อน ระหว่างความเป็นดนตรี และความมีจิตวิญญาณของดนตรี ซึ่งหมายถึง มันไม่ใช่แค่ความถี่เสียง แต่ต้องครบถ้วนในการถ่ายทอดอารมณ์ ความหลงใหล และความรุกเร้าใจด้วย”        ในทางเทคนิค จุดอ่อนของปรีโฟโนส่วนมากจะด้อยในย่านความถี่ 200 –  4,000Hz หากไม่มีวงจรที่สามารถสร้างเสถียรภาพของความถี่ตรงนี้ได้ดีพอเพียง เสียงจะเบาบางในการส่งผ่านสู่การขยายในเคิร์ฟ RIAA        ตรงนี้เองที่วงจรขยายหัวเข็มแผ่นเสียงอันยอดเยี่ยมของ MOONRIVER AUDIO 505 HYBRID PHONO STAGE จะอธิบายความแตกต่างในคาแรคเตอร์ ของไวโอลิน Guarneri กับไวโอลิน Stradivarius ด้วยการสร้างวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำงานร่วมกันโดยไม่บดบัง หรือทำให้รายละเอียดต่างๆ เกินจริงทั้งสองประการ         นับว่าเป็นผลงานที่ท้าทายนักฟังอย่างยิ่ง ในระดับประสิทธิภาพของโฟโนสเตจ MOONRIVER 505          ความพิถีพิถันเริ่มจากเลย์เอาต์ของ PCB ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงหลักการ 3 ประการ  1.    มีการแยกกันระหว่างแหล่งกำเนิดเสียงรบกวน และสัญญาณเสียงออดิโอที่ละเอียดอ่อน เช่น หม้อแปลง และเกนของวงจรสเตจ 2.    ด้วยแนวทางที่เรียบง่าย โดยใช้อุปกรณ์ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในวงจรขยาย  3.    และสุดท้าย เส้นทางสัญญาณที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้          MOONRIVER 505 ใช้การป้องกันสองชั้น หนึ่งชั้นสำหรับหม้อแปลง และอีกชั้นสำหรับวงจรเกนแอคทีฟ แนวทางนี้ช่วย ขจัดความจำเป็นในการต้องออกแบบแยกส่วนหม้อแปลงไปไว้นอกตัวเครื่องหลัก          ภาพลักษณ์ภายนอก ความโดดเด่น กลับเป็นความเรียบที่คลาสสิก ใช้วัสดุคุณภาพสูง เช่น ปุ่มหมุนอลูมิเนียมขนาดใหญ่ ประกบด้วยแผงด้านข้างเนื้อวอลนัท โครงสร้างมีความแข็งแรง และปุ่มปรับออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ ไม่มีไฟแสงสีสุนทรียศาสตร์แบบ "โชว์" ไม่มีหน้าจอที่มีเมนูหวือหวา หัวใจสำคัญของรุ่น 505 คือความเรียบง่ายและมินิมอล แต่วิธีการออกแบบเน้นไปที่ผู้ใช้สามารถปรับแต่งภายในไม่กี่วินาที โดยไม่ต้องพึ่งพาแมนนวลหรือคู่มือผู้ใช้           เพื่อให้การเข้าถึงการปรับแต่งที่จำเป็นทั้งหมดโดยตรง MOONRIVER AUDIO 505  ประกอบด้วยปุ่มหมุน 4 ปุ่ม และสวิตช์ 5 ตัวสำหรับการปรับแต่งทั้งหมด มีอินพุต 4 ชุด สามารถตั้งเกน 12 แบบ (6 ระดับการตั้งค่าความจุหัวเข็ม MM และการตั้งค่าโหลดหัวเข็ม MC 5 แบบ)          รวมถึงตัวเลือกแบบกำหนดเอง การตั้งค่าโหลดหัวเข็ม MM 3 แบบ และตัวเลือก อีควอไลเซชั่น สำหรับแผ่นเสียง RIAA, Decca หรือเล่นกับแผ่น Columbia แบบดั้งเดิมที่ 78 รอบต่อนาที เพื่อการย้อนกลับไปฟังแผ่นเสียงเก่ายุคอดีต นอกจากนั้นแล้ว MOONRIVER AUDIO 505 จะจัดการกับสัญญาณจากหัวเข็ม MC ด้วยประสิทธิภาพที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ และจะทำให้หัวเข็ม MM ทั่วๆ ไป ให้เสียงที่พิเศษ ฟังเสียงได้ลึกล้ำจนถึงทุกรายละเอียดเสียง แม้จะเป็นระดับที่เบามากๆ ก็ตาม            MOONRIVER 505 เครื่องโฟโนสเตจไฮบริด ประกอบด้วยแหล่งจ่ายไฟแยกกัน 6 ตัว รวมตัวเก็บประจุมหาศาลถึง 70,000uf และได้รับการออกแบบให้ทำงานแบบวงจรแยกอิสระซ้ายขวา โมโนคู่ ในแต่ละสเตจมีแหล่งจ่ายไฟของตัวเอง รวมถึงวงจรควบคุมเชิงเส้นแบบแยกส่วนและวงจรตัดเสียงสัญญาณรบกวนแบบแยกส่วนด้วยเช่นกัน         MOONRIVER 505 ให้ค่าเกนสูงสุด 72dB (x4000 เท่า) ในการตั้งค่า MC โดยใช้สเตจขยายแอคทีฟที่มีสัญญาณรบกวนต่ำเป็นพิเศษ ในการตั้งค่าหัวเข็มแบบ MM และค่าหัวเข็มแบบ MC ใช้สเตจอินพุตที่แตกต่างกันโดยมีออปแอมป์คนละส่วนที่เลือกมาโดยเฉพาะสำหรับแต่ละกรณี          ระบบการทำงานของไมโครคอนโทรลเลอร์พร้อมฟังก์ชั่นบันทึกหน่วยความจำ มีการทำงานที่เงียบสนิท ในการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าทุกครั้งจะถูกบันทึกโดยอัตโนมัติสำหรับอินพุตทั้ง 4 อินพุต         ส่วนที่เป็นหัวใจของภาคแปลงความถี่เสียง จากแผ่นไวนีล หรือวงจร EQ ใช้แบบพาสซีฟ ซึ่งเป็นแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับการตอบสนองความถี่ที่ราบเรียบสุดขีดโดยไม่รบกวนขั้นตอนอื่นๆ          วงจร EQ ประกอบด้วย เคิร์ฟมาตรฐานสองเคิร์ฟ ได้แก่ RIAA Curve และเส้นเคิร์ฟของ DECCA หรือ COLUMBIA เหมาะสำหรับฟังและเล่นแผ่นเสียง 78 รอบต่อนาที วงจร EQ ทั้งสองแบบถูกสร้างขึ้นโดยใช้แนวทางที่เรียบง่าย โดยมีส่วนประกอบคุณภาพระดับออดิโอไฟล์เพียงไม่กี่ชิ้นที่มีค่าความคลาดเคลื่อนต่ำมาก       Test Report         ผมได้ใช้เครื่องเล่นแผ่นเสียง 2 เครื่อง หัวเข็ม 3 หัว ในการทดสอบฟัง MOONRIVER AUDIO 505  • เครื่องเล่นแผ่นเสียง ELAC Miracord 90 ใช้สลับกันระหว่างหัวเข็มแบบ Mi คือ GRADO Statement Platinum 2 ที่มีค่าเอาต์พุต 1mV และ หัวเข็มแบบ MC ของ HANA EL มีค่าเอาต์พุตอยู่ที่ 0.5 mV • เครื่องเล่นแผ่นเสียง NAD C588 ใช้หัวเข็ม ORTOFON 2M Blue ที่มีค่าเอาต์พุต 5.5 mV          จากการทดสอบ หัวเข็มแผ่นเสียง GRADO Statement Platinum 2  ดูจะค่อนข้างปรับได้หาความลงตัวพอดีได้ยากที่สุด ในแง่การใช้งานปรับเกนระดับความดัง และค่าต้นทาน เพราะเหตุที่มันเป็นหัวเข็มแบบ Mi ซึ่งยืนอยู่ระหว่างกลาง ของหัวเข็มแบบ MM และ MC เมื่อใช้หัวเข็มMi ผมต้องตัดสินใจ ว่า ในวงจรขยายภาคโฟโนของ MOONRIVER AUDIO 505 นั้น จะเลือกที่ฐานของ MMหรือ MC กันดี? • ในที่สุดจากการทดสอบ ผมเลือกเป็นค่าของ MM และปรับค่าระดับความดัง อยู่ที่ Gain 44(58) ค่าคาปาซิแตนท์ 330 • ส่วนหัวเข็ม ORTOFON 2M Blue เลือกปรับค่าเกนที่ 34 (48) ส่วนค่าคาปาซิแตนท์ 470 • หัวเข็ม HANA เลือกปรับค่าเกนที่ 44 (58) และ ค่า MC Input Impedance ไปที่ 47          ทั้งหมดนี้ยังเกี่ยวข้องสัมพันธ์อยู่กับการปรับค่าเกณฑ์ซีเล็คเตอร์ และค่าความต้านทาน ของหัวเข็ม MM รวมถึงเลือกสวิตช์ไปยัง EQ เคิร์ฟ ซึ่งก็จะตั้งค่าไว้ที่ RIAA ตลอด เนื่องจากไม่ได้มีการเล่นแผ่นในสปีด 78 นั่นเอง        ถ้าท่านใช้หัวเข็มอื่นโดยทั่วไป ให้ลองปรับค่าต่างๆ ของเครื่องดู เพราะปรับได้ละเอียดและที่สำคัญคือ สามารถปรับได้ในขณะที่เราฟังแผ่นเสียงได้โดยทันที โดยไม่เกิดเอฟเฟ็กต์ใดๆ         คุณภาพเสียง และความพึงพอใจ จึงเป็นเรื่องเฉพาะของแต่ละท่านที่ว่าต้องการน้ำเสียงแบบใดนั่นเอง MOONRIVER AUDIO 505 มีให้เลือกปรับอย่างเหลือพอ         คุณภาพเสียงโดยรวมจากการทดสอบครั้งนี้ ผมชื่นชม MOONRIVER AUDIO 505 ตรงให้ความเป็นกลางของเสียงแบบอนาล็อกยอดเยี่ยมมาก โดยเฉพาะกับแผ่นเสียงในระดับออดิโอไฟล์ด้วยแล้ว คุณจะพบถึงรายละเอียดระยิบระยับครบถ้วนอย่างแท้จริง คือในช่วงที่ฟังแผ่วเบา จะแสดงผลได้เหนือชั้นมากกว่า ปรีโฟโนธรรมดาโดยทั่วไปมากทีเดียว        ถ้าถามว่า MOONRIVER AUDIO 505 เหมาะกับหัวเข็มแบบไหน?  MM – MC หรือ Mi ดังที่ผมหามาทดสอบทั้งสามประเภทนี้ บอกได้เลยว่า ใช้ได้ทั้งหมด ไม่เกี่ยงประเภทหัวเข็มแต่อย่างใด           แต่ในความเห็นส่วนตัว ดีที่สุดเรียงตามลำดับคือ อันดับหนึ่ง หัวเข็ม MC  อันดับสอง หัวเข็ม MM และสุดท้ายหัวเข็ม Mi           ภาคปรีโฟโนเครื่องนี้ให้ความสมดุล รวมไปจนถึงการปรับแต่งค่าต่างๆ เหมาะสมกับหัวเข็มทุกประเภทอย่างครบถ้วนครับ         ส่วนหนึ่งที่จะรับรู้ได้โดยไม่ยากก็คือความเงียบสนิทของสัญญาณรบกวน ที่จะเข้ามาในวงจรขยายหัวเข็มแผ่นเสียง อันนี้ถือว่าดีมากๆ มันเป็นยอดปรารถนาของนักฟังแผ่นอนาล็อก เพราะเรามักจะหลีกเลี่ยงสัญญาณรบกวนกันได้ค่อนข้างลำบากเป็นปกติอยู่แล้ว          MOONRIVER AUDIO 505 ช่วยเพิ่มความชื่นชม และมีความศรัทธาในระบบอนาล็อกออดิโอ และเป็นภาคโฟโนสเตจ ที่มีสัญญาณรบกวนต่ำ ให้ช่องว่างดนตรีสงัดที่สุดเท่าที่เคยฟังภาคปรีโฟโนมาในรอบหลายๆ ปีเลยครับ        ด้วยความเที่ยงตรงของ MOONRIVER AUDIO 505 ทำให้ได้ยินรายละเอียดและความสง่าผ่าเผยของแผ่นเสียง แต่ละแผ่นได้อย่างครบถ้วน           อาจจะเป็นครั้งแรกที่ผมฟังแผ่นในค่าย Sheffield Lab ที่เก็บสะสมเอาไว้ แล้วได้รู้สึกถึงคุณค่าของการบันทึกแผ่นแบบ Direct Cut  ว่ามีรายละเอียดและค่าไดนามิคเร้นจ์ ยอดเยี่ยมเหนือแผ่นทั่วไปอย่าง ชัดเจน แจ่มแจ้ง หรือฟังแผ่นเสียงค่าย Telarc กับเพลงแนวดุดันหลายอัลบั้ม ให้ความชัดครบถ้วน สมจริง เป็นแนวเสียงแบบอนาล็อกที่งดงามมีเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง         MOONRIVER AUDIO 505 ช่วยให้เข้าถึงในทุกรายละเอียด ความพริ้วหวาน ความอิ่มฉ่ำหรือแม้แต่พลังแรงพั้นช์ ที่รุนแรง มีอย่างครบถ้วน ขอตอกย้ำอีกครั้งว่าในด้านรายละเอียดช่วงปลายเสียงแหลมนี้ถือว่าไปได้สุดจริงๆ ครับ ส่วนความถี่ต่ำนั้นจะมีตัวตนของเสียงเบสชัดเจน และเครื่องดนตรีทุกชิ้นจะถ่ายทอดออกมา สมจริงเป็นธรรมชาติมากๆ          บทสรุป MOONRIVER AUDIO 505 ส่งผ่านความความลื่นไหล อบอุ่น ละเมียดละไม และให้พลังเสียง ที่เป็นธรรมชาติมาก เป็นความละเมียดละไมที่งดงามของอนาล็อกไฮเอ็นด์ ที่คุณฟังครั้งเดียวไม่เคยพอครับ! MOONRIVER AUDIO MODEL 505 ราคา 190,000.- บาท สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ HiFi House by Msound โทร. 096 978 7424  ID Line : m_240956 Email : msound.pechponk@gmail.com

Rega P10 The heart of music

Rega P10 The heart of music ในระบบอนาล็อก ออดิโอที่มีอายุยืนยาวที่สุด และมีการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะผ่านช่วงเวลาที่รุ่งเรืองหรือตกต่ำ คนอนาล็อกก็ยังพยายามที่จะก้าวขึ้นสู่การฟังเพลงที่เต็มไปด้วยรายละเอียดที่มีชีวิตชีวา และต่อสู้ให้หลีกพ้นไปจาก การสั่นสะเทือนที่มีผลต่อคุณภาพเสียง Roy Gandy ยังคงเชื่อว่า โครงสร้างที่แกร่ง แข็งแรง และอยู่ในรูปทรงที่กะทัดรัด ไม่จำเป็นต้องใหญ่โตมโหฬาร แบบขี่ช้างจับตั๊กแตน สามารถนำพาคุณภาพเสียงที่บริสุทธิ์ รายละเอียดครบถ้วนได้แน่นอน ปัญหาเรื่องของการไวเบรชั่น กับการเกาะร่องหัวเข็มแผ่นเสียง ที่มีจุดอ่อนไหว สามารถใช้หลักวิศวกรรม และวัสดุที่เหมาะสม ทำให้สมบูรณ์แบบได้ และ PLANAR 10 หรือ Rega P10 เป็นพัฒนาการล่าสุดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องเล่นแผ่นเสียง Rega รุ่น Naiad โดยเครื่องเล่นแผ่นเสียงรุ่นนี้สร้างขึ้นจากฐานโครงเหล็กน้ำหนักเบาพิเศษที่มีโครงและทรวดทรงแบบโค้งและเป็นแนวเส้น ไม่ใช่ผืนแผ่นสี่เหลี่ยม จัดเป็นศิลปกรรมด้านวิศวกรรมที่ยอดเยี่ยมน่าดูมาก          โดยแท่นเครื่องผลิตจากแกน Tancast 8 และหุ้มด้วยแผ่นลามิเนตแรงดันสูง (HPL)             PLANAR 10 เป็นเครื่องเล่นแผ่นเสียงรุ่นแรกที่ใช้การเสริมความแข็งแรงด้วยเซรามิก ซึ่งจะให้พื้นผิวที่แข็งแรงเป็นพิเศษสำหรับการติดตั้งโทนอาร์มรุ่น RB3000 ที่มีความแม่นยำและชุดตลับลูกปืนกลางที่ Rega กำหนดเอง        สำหรับความพิเศษคือ PLANAR 10 ยังติดตั้งด้วยแพลตเตอร์เซรามิกออกไซด์ที่สั่งทำพิเศษ ซึ่งตัดด้วยเพชรในระหว่างการผลิตเพื่อความแม่นยำสูงสุด และความเสถียรของความเร็วรอบหมุน  มอเตอร์ซิงโครนัส 24V ของ Rega และระบบจะติดตั้งสายพานขับหมุน EBLT ที่มีวงรอบขนาดเล็ก          มีแผ่นรองหรือแมตช์ สีขาวสะอาดตา           ตัวระบบขับหมุน การปรับเปลี่ยนรอบหมุน ระหว่าง 33-1/3 และ 45 RPM จะถูกควบคุมโดยกล่องแหล่งจ่ายไฟที่ล้ำหน้าที่สุดของ Rega ที่แยกออกมาจากแท่นเครื่อง นั่นคือ P10-PSU แหล่งจ่ายไฟแยกส่วนแบบนี้ช่วยลดการสั่นสะเทือนของมอเตอร์ในระดับสูงสุด          เราสามารถปรับความเร็วรอบหมุนได้ละเอียดด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ และสะดวกในการเปลี่ยนความเร็วอย่างฉับไว และรอบจะเสถียรคงที่มาก           PLANAR 10 ออกแบบมาเพื่อมอบประสิทธิภาพสูงสุดของ Rega โดยดึงข้อมูลออกมาจากร่องแผ่นเสียงไวนิลได้มากกว่าที่เคย ปัจจุบันมีให้เลือกทัังรุ่น สีเทา และรุ่นเคลือบสีขาว            สำหรับ Planar 10 ที่ผมได้รับมาทดสอบ จะติดตั้งด้วยหัวเข็มแบบ MC รุ่น ANIA กับโทนอาร์ม RB3000  (ซึ่งปกติทาง Rega จะมีออพชั่นติดตั้งหัวเข็ม Apheta 3 หรือ Aphelion 2 มาจากโรงงาน)             สำหรับหัวเข็ม ANIA เป็นหัวเข็มประเภทคอยล์เคลื่อนที่ (Moving Coil) มีแม่เหล็กนีโอไดเมียมกำลังสูงเป็นพิเศษ และคอยล์ที่พันด้วยมืออย่างพิถีพิถันบนโครงสร้างขนาดจิ๋วนี้ ทำให้หัวเข็มมีอิสระมากขึ้นในการเกาะร่องไวนิล โดย จะดึงรายละเอียดจากแผ่นเสียงออกมาได้ครบถ้วนยิ่งขึ้น     Test Report  การเซ็ตอัพ ผมได้รับเทิร์นเทเบิล Rega P10 หรือ PLANAR 10 มาพร้อมหัวเข็ม MC รุ่น ANIA          P10 เป็นเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่รูปทรงอาร์ตมากๆ เหมือนงานประติมากรรม มีส่วนเว้าโค้ง เจาะคว้านให้ช่วงตรงกลางกลวงอย่างมีนัยยะ และหัวเข็ม ANIA ก็มีกายภาพขนาดย่อมไม่เทอะทะ การติดตั้งง่าย การปรับค่าทั้ง Tracking Pressure หรือน้ำหนักหัวเข็ม (1.75-2.00 กรัม) กับค่าAnti-Skating นั้นเหมือนการใช้เครื่องเล่นแผ่นเสียงพื้นฐานโดยทั่วไป          ผมทบทวนด้วยเครื่องชั่งน้ำหนักของ Van Den Hul อีกรอบ จากนั้นตอนแรก นำ P10 วางบนแท่นรองของ Atacama ที่มีขายางหยุ่นทั้งสี่มุม ตรงจุดนี้กลับไม่สามารถวัดค่าศูนย์ความเที่ยงตรงในแนวระนาบได้ จึงเปลี่ยนมาใช้ Life Audio Classic Mellow แทน ปรับจนได้ศูนย์ในแนวระนาบร้อยเปอร์เซ็นต์          ชอบความมั่นคงและน้ำหนักของโทนอาร์ม RB3000 นะครับ มันให้น้ำหนักเบา รู้สึกพอดีกับมือ การยก โยกย้าย คล่องตัวมากๆ      • สปีด และความแม่นยำรอบหมุน        P10 มีกล่อง PSU ที่เป็นแหล่งจ่ายไฟและตัวควบคุมรอบหมุน ซึ่งแยกออกจากแท่นเครื่อง มีปุ่มกด สองปุ่มสำหรับเลือกสปีด 33-1/3 และ 45 RPM นั้น รอบหมุนจะปรับตัวให้ตรงสปีดและคงที่รวดเร็วมาก ไม่ต้องรอนาน อาจจะด้วยประสิทธิภาพของตัวเครื่อง PSU เอง และตัวแพลตเตอร์ที่มีน้ำหนักประมาณ 2.4 กิโลกรัม ผสานกับสายพานวงรอบเล็ก จึงใช้เวลาให้ค่าสปีดคงตัวภายใน5-8 วินาทีเท่านั้นในทางปฏิบัติ อันนี้ถือว่า ยอดเยี่ยมครับ      • สัญญาณแห่งความเงียบในการขับหมุน           ถือได้ว่า นี่คือเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่มีผลลัพธ์ของความเงียบ ทั้งระบบมอเตอร์มอเตอร์ขับหมุนเองและแหล่งจ่ายไฟ ที่ถูกออกแบบมาดีเยี่ยม อาการรบกวนต่างๆ จากระบบไฟ รัมเบิ้ล ฮัม และน้อยซ์ นับว่าเงียบกริบ ทำให้มั่นใจได้ว่า จะได้คุณภาพเสียงที่ถ่ายทอดรายละเอียดได้ครบถ้วนที่สุดเครื่องหนึ่ง เท่าที่ผมเคยทดสอบใช้งาน       • กลไกขับหมุนที่นิ่ง เงียบสนิท        เป็นเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่มีไวเบรชั่นต่ำมากๆ แบบนี้ ถือว่าเทิร์เทเบิลทำให้เสียงจากต้นทางสามารถมอบคุณภาพเสียงเชิงอนาล็อกได้อย่างเต็มที่ เต็มร้อย เพราะฟังเสียงจากแผ่นได้อย่างลื่นไหลต่อเนื่อง และทุกเสียงมีความแม่นยำตรงตามต้นฉบับที่บันทึกมา      • การเกาะร่องแผ่นเสียง        เมื่อเริ่มวางหัวเข็มลงไปบนแผ่นเสียง P10 ให้ความรู้สึกกับเราในทันที ในเรื่องประสิทธิภาพ โทนอาร์มและหัวเข็มที่ทำงานร่วมกันได้อย่างยอดเยี่ยมน่าประทับใจ  ด้วนการเกาะร่องแม่นยำของเครื่อง ช่วยให้เข้าถึงทุกรายละเอียดที่ถูกบันทึกมาในร่องแทร็กซ์ แบบว่าถ่ายทอดออกมาได้อย่างหมดสิ้น ครบถ้วน เป็นเสียงที่เราเข้าถึงทุกย่านความถี่ ตั้งแต่ร่องนอกสุดไปจนถึงร่องในสุดของแผ่นอย่างสมบูรณ์  แนวเสียงสะอาด ละเอียดยิบ ผ่อนคลาย           สุดท้าย บทสรุปในการทดสอบเครื่องเล่นแผ่นเสียง P10 ก็คือ ให้แนวเสียงสะอาด มีความเป็นกลางสูงมาก ไม่ใช่เสียงแนวอนุรักษ์นิยม ที่พวกเราหลายคนคิดว่า เสียงแบบอังกฤษ คือเสียงแฟลต และจืดเสมอไป เพราะ Rega P10 ได้เปิดโลกอนาล็อกที่มีความสมจริงของชิ้นดนตรีที่มีความละเอียดอ่อนครบถ้วน ช่วงปลายเสียงแหลมสวยงาม พลิ้ว สะอาดระยิบระยับ เสียงย่านความถี่กลางที่ผ่อนคลาย และเบสอิ่มตัวเป็นชิ้นเป็นอัน         P10 ให้ได้ทั้งความโรแมนติกน่าฟัง และความสมจริง ที่มีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง จุดเด่นที่นอกจากเสียงที่สะอาดแล้ว ค่าไดนามิคเร้นจ์จากแผ่วเบาไปถึงดังที่สุดจากแผ่นเสียง มีสัดส่วนสวยงามที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ทดลองฟังเครื่องเล่นแผ่นเสียงในระดับราคาหนึ่งแสนบาทมาในช่วงหลายๆ ปีมานี้         Rega P10 สร้างความประทับใจมากครับ และผมเข้าใจสิ่งที่ Roy Gandy กล่าวเอาไว้ถึงปรัชญาของเขาว่า ถ้าทำไม่ได้ดีกว่าคู่แข่งหรือผู้ผลิตอื่น เขาจะไม่ทำออกมา        ดังนั้นคุณภาพเสียงที่สวยงามมีพลังอนาล็อกโอ่อ่าประดุจเพชรน้ำหนึ่งจาก Rega P10 นั้น ก็คือคำตอบ สำหรับช่วงเวลาอันยาวนานที่ รอย แกนดี้ ได้คิดค้นพัฒนามาจนถึงจุดอุดมคติ สมดังสโลแกนที่ว่า The heart of music แล้วครับ สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ ตัวแทนจำหน่าย Komfort Sound โทร. 083 758 7771  

KEF Q Concerto Meta พัฒนาการก้าวกระโดด ที่ให้ความใกล้เสียงดนตรีเป็นอย่างยิ่ง

KEF Q Concerto Meta  พัฒนาการก้าวกระโดด ที่ให้ความใกล้เสียงดนตรีเป็นอย่างยิ่ง เปิดมาฟ้าใส ศักราชใหม่ 2568 ได้ฟังลำโพงที่น่าประทับใจแบบนี้ นับว่าเป็นความสุขต้นปี ที่ไม่อาจลืมเลือนได้เลย นั่นคือ KEF Q Concerto Meta KEF นับเป็นบริษัทผู้พัฒนาลำโพงด้วยเทคโนโลยีใหม่ได้รวดเร็วที่สุด สำหรับ New Q Series รุ่นใหม่นี้ มีคำศัพท์ 3 คำที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ หนึ่ง Q หมายถึงซีรีส์หลักของลำโพงที่ใช้ตัวขับ Uni-Q สอง คำว่า Concerto เป็นการพัฒนาใหม่ ที่หมายถึงความเป็นดนตรีอย่างยิ่งยวด มาจากรากศัพท์ในดนตรีแบบคลาสสิก “คอนแชร์โต” (ภาษาอิตาเลียน) หมายถึงการประชันขันแข่งดนตรี  ส่วนคำที่ สาม Meta นั้น คือการเอื้อเทคโนโลยีสำคัญของ KEF จากรุ่นเรือธงลงมาสู่ Q Series เป็นครั้งแรก ชุด Q ซีรีส์นี้ประกอบไปด้วยลำโพง 8 รุ่น ที่ถูกออกแบบมาเพื่อผู้ใช้งานที่อยากเพิ่มประสบการณ์ในการรับฟังเครื่องเสียงในบ้าน โดยครอบคลุมทุกความต้องการ ตั้งแต่การฟังเพลงสเตอริโอ ไปจนถึงระบบโฮมเธียเตอร์แบบ Multi-Channel KEF ยืนยันว่าจะมอบประสบการณ์เสียงที่เสมือนจริงมากที่สุดเท่าที่เราจะสัมผัสได้ ลองมาพิเคราะห์กันดูถึงสิ่งใหม่ที่เกิดกับ Q Series กันครับ หนึ่งในนั้นคือ เทคโนโลยีการดูดซับเสียงส่วนเกิน แบบซับซ้อนเสมือนเขาวงกต ด้วย Metamaterial Absorption Technology (MAT) นวัตกรรมที่ยกระดับประสิทธิภาพของไดรเวอร์ Uni-Q เจเนอเรชั่น 12 ล่าสุด ให้ก้าวขึ้นไปอีกระดับ สามารถสร้างคุณภาพเสียงที่ชัดและใสละเอียดมากขึ้นเพราะโครงสร้างของ MAT สามารถดูดซับคลื่นความถี่เสียงส่วนเกิน เฉพาะที่เราต้องการกำจัดทิ้ง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการดูดซับเสียงรบกวนได้ถึง 99% ทำให้เสียงที่ได้มีเสียงที่บริสุทธิ์และเป็นธรรมชาติอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน     Uni-Q ไดรเวอร์เจเนอเรชั่นที่ 12 ที่เพิ่ม MAT เข้ามานั้น มีอยู่ในลำโพงทั้ง 8 รุ่นของ Q ซีรีส์ใหม่นี้ และยังส่งมอบประสิทธิภาพเสียงที่มีรายละเอียดที่น่าทึ่ง Q ซีรีส์ เป็นผลลัพธ์จากความรู้ความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมาหลายทศวรรษ และการประยุกต์ใช้เครื่องมือจำลองและวิเคราะห์ที่ล้ำสมัย การพัฒนาที่เกิดขึ้นมากมายล้วนมีส่วนทำให้ Q ซีรีส์มีประสิทธิภาพที่โดดเด่น การผสานกันของตัวขับสองทางที่มีแหล่งกำเนิดเสียงจุดเดียวกันอย่าง Uni-Q เจเนอเรชั่นที่ 12 เพิ่มศักภาพสูงสุดด้วย MAT ช่องนำเสียงรูปกรวยที่เชื่อมโดมของทวีตเตอร์กับตัวซับเสียง Metamaterial ดีไซน์พิเศษทำงานผสานกับความลึกของไดรเวอร์ จนถึงการออกแบบวิศวกรรมใหม่อย่างมีแบบแผนในการลดช่องว่างของทวีตเตอร์ด้วยการใส่วงแหวน 2 วง ที่เป็นวัสดุแบบรูพรุนเพื่อให้เกิดการลดเสียงส่วนเกิน เป็นส่วนหนึ่งของนวัตกรรมที่รวมกันเพื่อให้มั่นใจว่าเสียงของ Q ซีรีส์ใหม่นี้จะโปร่งใสและเหมือนจริงมากยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา สิ่งที่แตกต่างไปจาก Q ซีรีส์ รุ่นดั้งเดิมก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิงก็คือ การออกแบบลำโพงจาก 2.5 ทาง เป็น 3 ทาง โดยการปรับแต่งใหม่นี้ใช้ครอสโอเวอร์ แบ่งแยกย่านความถี่ออกจากกัน โดยไดรเวอร์ Uni-Q รับผิดชอบย่านความถี่สูงและกลาง และวูฟเฟอร์ ที่ได้รับการออกแบบใหม่ทำหน้าที่จัดการย่านความถี่ต่ำ มอบเสียงเบสที่ลึกและสะอาดให้กับผู้ฟัง (ซึ่ง Q Series ก่อนหน้านี้ใช้แค่ Passive Radiator ซับความถี่ต่ำ) สำหรับลำโพงวางขาตั้ง รุ่น KEF Q Concerto Meta ที่ได้รับมาทดสอบนี้ มีลักษณะมินิมอลที่มีความร่วมสมัย มีผิวสัมผัสมันวาวแบบซาตินที่ให้ความหรูหรา มีระดับมากครับ     โดยผู้ใช้สามารถเลือกสีผิวลำโพงได้ 3 สี Satin Black, Satin White และ Walnut และมี Grille ซึ่งช่วยปกป้องตัวขับเสียง ถ้าคุณต้องการโดยสีของ Grille จะแมตช์กับลำโพงเข้าชุดกันอย่างลงตัว ติดตั้งด้วย Magnetic เพื่อให้ติดตั้งง่ายและเข้ากันอย่างพอดี ทำให้ภาพรวมนั้นสวยงามและมีสไตล์ที่เรียบง่าย ด้วยการออกแบบอย่างชาญฉลาด ใน Q ซีรีส์นี้ เป็นครั้งแรกที่ KEF ออกแบบลำโพงแบนบางติดผนังมาในโมเดล Q4 Meta ซึ่งสามารถใช้ได้ในรูปแบบ LCR (Left, Centre, Right) หรือจะใช้เป็นลำโพง Surround เพื่อขยายระบบเสียงรอบทิศ โดยไม่ต้องเสียพื้นที่มาก  ส่วนโมเดล Q6 Meta ก็ไม่ได้เป็นเพียงลำโพงสำหรับเซ็นเตอร์เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้เป็นลำโพง LCR (Left, Centre, Right) ได้เช่นเดียวกัน อีกทั้ง Q8 Meta ที่สามารถวางบนลำโพงหลักเพื่อสร้าง Dolby Atmos โดยสะท้อนเสียงจากเพดานลงมา เพื่อให้เกิดเสียงแบบ 3 มิติ รวมถึงยังสามารถใช้เป็นลำโพง Surround ด้วยการติดผนังได้เช่นเดียวกัน ลำโพง Q Series ใหม่นี้ ยังพร้อมตอบสนอง การขยายขอบเขตความถี่ต่ำ ในกรณีฟังเพลงสองแชนแนลหรือแบบโฮมเธียเตอร์ โดยสามารถเพิ่มอรรถรสของเสียงเบสให้มากยิ่งขึ้น ด้วยการ จับคู่ Q ซีรีส์ใหม่นี้เข้ากับลำโพง Sub-woofer ของ KEF ได้อีกเช่นเดียวกัน (จะมีบททดสอบในลำดับถัดไป)   KEF Q Concerto Meta Satin White สีขาวสะอาดได้ถูกส่งมาแกะกล่องและทดสอบ พร้อมด้วยขาตั้งที่ดีไซน์มาเฉพาะรุ่นนั่นคือ Speaker Stand รุ่น SQ1 (จำหน่ายแยก) ซึ่งผมทำการประกอบโดยใช้เวลาไม่นานนักก็เสร็จเรียบร้อย ข้อแนะนำก็คือ เราควรใช้กาวบลูแท็คติดเข้ากับเพจด้านบนของขาตั้งเพื่อความมั่นคงในการเปล่งความถี่ของลำโพง เพลทล่างของขาตั้ง สามารถปรับเปลี่ยนไปใช้เดือยแหลม Spike มาตรฐานได้ ข้อมูลเทคนิคโดยทั่วไปของลำโพง KEF Q Concerto Meta เป็นลำโพงระบบสามทาง Bass Reflex ที่มีฟองน้ำปิดท่อด้านหลังได้ (กรณีต้องวางลำโพงชิดผนัง) โครงสร้างตัวขับเสียงกลางแหลม Uni-Q Driver มีทวีตเตอร์อลูมิเนียมขนาด 0.75 นิ้ว อยู่ใจกลาง (Aluminium dome with MAT) มิดเร้นจ์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 นิ้ว และวูฟเฟอร์ อะลูมิเนียมไฮบริดขนาด 6.5 นิ้ว  ตอบสนองความถี่ 40 Hz - 20 kHz มีค่าความไว ที่กำลังขับ 1 วัตต์ วัดที่ระยะห่าง 1 เมตร ได้ความดัง 85dB ลำโพงมีความต้านทานเฉลี่ยอยู่ที่ 4 โอห์ม ขนาดตู้ สูง x กว้าง x ลึก : 415 x 210 x 315 มิลลิเมตร ทราบหรือไม่ ความประณีตของลำโพงที่งามทุกส่วนสัดนี้ เราควรภูมิใจว่า KEF Q Concerto Meta รวมถึงลำโพงในซีรีส์ Q ใหม่นี้ ได้รับการประกอบขึ้นในโรงงานในประเทศไทย ครับ ฝีมือทำได้มาตรฐานเป็นเลิศจริงๆ!!!     ผลการทดสอบ จากการ Set up พบว่าภายในห้องทดสอบของผม จัดวางห่างกัน 2.05 เมตร และห่างผนังหลัง 85 เซ็นติเมตรขึ้นไป จะได้เสียงสมดุลที่สุด ห้องฟังอื่นๆ ควรปรับไปตามขนาดและสภาพของอะคูสติกห้องเป็นสำคัญ ลำโพงรุ่นนี้ แนะนำว่าจะต้องทำการเบิร์นก่อนใช้งานจริง ประมาณ 200 ถึง 250 ชั่วโมง เพื่อให้ได้คุณภาพเสียงที่ครบถ้วนทุกรายละเอียด และเปิดโปร่งกังวานสวยงาม ปราศจากข้อจำกัดใดๆ ของเสียง จากแผ่นเบิร์นเสียงถึงแผ่นเพลงที่ให้ไดนามิค และมีความสะวิงของความถี่มากๆ ( แนะนำแผ่นทดสอบ XLO Test & Bern-in CD /Jo Weed : The Vultures และ Secrets of Life : Karunesh) ข้อสังเกตเมื่อทำการเบิร์น KEF Q Concerto Meta เกิน 180 ชั่วโมงขึ้นไปแล้ว คุณจะรู้สึกทึ่งและประทับใจคุณภาพเสียงเป็นอย่างยิ่ง ทั้งค่าไดนามิคเร้นจ์ ความกว้างลึกของเวทีเสียง และที่สำคัญคือ ดีเทลหรือรายละเอียด ใกล้เคียงลำโพงรุ่น R Series ที่แพงกว่า อย่างมีนัยยะสำคัญเลยครับ (The Unmistakable Mantovani / Hiroshima / Yanni : The Concert Live) คือทำให้เราเห็นว่าลำโพงของ KEF นั้น มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเป็นอย่างยิ่ง พัฒนาการออกแบบ และวัสดุช่วยให้ลำโพงนั้นได้คุณภาพเสียงที่ดีขึ้นอย่างชนิด “เห็นหน้าเห็นหลัง” เมื่อเปรียบเทียบกับซีรีส์ดั้งเดิมและรุ่นที่สูงกว่า บอกได้เลยว่าคุณภาพเสียงคล้าย R-Series เป็นอย่างยิ่ง แม้ว่ารายละเอียดเสียงแหลมช่วงปลาย อาจจะยังไปไม่ถึงขั้นนั้น กับราคาที่จำหน่ายแล้วถือว่าเป็นลำโพงที่คุ้มค่ามากๆ  พื้นเสียงที่น่าสนใจยิ่งก็คือ KEF Q Concerto Meta ให้เสียงได้แฟลต คล้ายประสบการณ์ดนตรีจริงมากทีเดียว สังเกตได้จากประสบการณ์ส่วนตัวผมที่นิยมฟังการแสดงดนตรีสดในคอนเสิร์ทฮอลล์ โดยเฉพาะเสียงของกลุ่มเครื่องสาย ทำได้ราวหลุดมาจากธรรมชาติ (On The Beautiful Blue Danube Waltz, Op. 314 : EIN TRAUSSFEST)  เพลงแนวพ็อพ แจ็ซ เพลงร้อง Q Concerto Meta ดูเสียงอิ่มเอม ให้ความเป็นธรรมชาติ น่ารัก เก็บรายละเอียดอย่างเข้าถึงพื้นเสียงของศิลปินครบถ้วน ศักยภาพเสียงใกล้เคียงลำโพงระดับคู่ละแสนเลยทีเดียว (Aaron  Neville : Warm Your Heart / 50 ปีไม่ลืมสุรพล / ดอกไม้ที่กลับมา : ปาน ธนพร / Georg Benson 20/20 / คลาสสิก ไพบูลย์ บุตรขัน) ความกว้างลึกของเวทีเสียง หรือ Soundstage ถือว่าโดดเด่น แม้จะฟังในระดับแผ่วเบาก็ยังสามารถให้มิติเสียงออกมาสมบูรณ์ บางช่วงผมทดลองเบาเสียงจากโวลุ่มแอมปลิไฟร์ลงมามากๆ ให้มีระดับความดังเฉลี่ยแค่ 60-63dB ที่จุดนั่งฟังถือว่า ในแง่รายละเอียดและความกว้าง ลึก เวทีเสียง KEF Q Concerto Meta ทำได้ดีกว่าลำโพงในระดับราคาเดียวกันอย่างชัดแจ้ง     จุดเด่นใน KEF Q Concerto Meta ที่น่าจะต้องบันทึกเอาไว้ คือการตอบสนองเสียงดนตรี ฉับไว ทั้งกลางแหลมและเสียงต่ำ หัวโน้ตของเบส หรือเสียงต้นของเบส เป็นชิ้นเป็นอันครับ มีน้ำหนักเสียงออกมาครบถ้วน ในด้านความถี่ต่ำ เมื่อย้อนกลับไปเปรียบเทียบกับ Q Series รุ่นเดิมถือว่ารุ่นใหม่นี้ จะเป็นพัฒนาการก้าวกระโดดที่ไกลออกมามาก เพราะเสียงเบสจะมีความเป็นตัวตน มีน้ำหนักเสียงทรงพลังเพิ่มขึ้น ได้ความสมจริงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจาก KEF Q Concerto Meta ปรับเปลี่ยนมาใช้ตัวขับเสียงแบบไดนามิค แทนการใช้พาสสีพเรดิเอเตอร์ นั่นเอง ประกอบกับการพัฒนาของตัวขับ Uni-Q เจเนอเรชั่นที่ 12 ทำให้เข้าถึงเสียงดนตรีในแบบ เกลี้ยงเกลาสะอาดและเฟสของเสียงแม่นยำถูกต้องตลอดเวลา จากแผ่น CD ที่ผมใช้ฟัง ทดสอบเป็นประจำ (The Last Emperor / Chuck Mangione : Fell So Good) พบถึงความฉับไวและสมดุลของเสียงดีมากๆ ผลจากการทดสอบทำให้เราค้นพบว่า นี่คือลำโพงซึ่งสามารถตอบสนองเพลงทุกประเภทได้อย่างไร้ข้อจำกัด สร้างความประทับใจเริ่มต้นปี 2025 ได้อย่างสมบูรณ์แบบ KEF Q Concerto Meta มีพัฒนาการเทคโนโลยีลำโพงอย่างก้าวกระโดด และยังคงอ้างอิงความใกล้เสียงดนตรีเป็นอย่างยิ่ง นี่คือคำอธิบายว่า ลำโพงในระดับราคาห้าหมื่นกว่าบาท สามารถให้เสียงได้ดีที่สุดเพียงใด ***Reference NAD C3050 LE Amplifier Moonriver 404 Reference Amplifier M2 Tech Young DAC DENON DCD 2500 NE SACD  Life Audio LD5MK ll Speaker Cable KEF Q Concerto Meta ราคา 54,900.- บาท ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: บริษัท วีแกดซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เลขที่ 9/7 ซ. รัชดาภิเษก 18 ถ. รัชดาภิเษก ห้วยขวาง กรุงเทพฯ โทร 02-692-5216 Vgadz.com/kef https://www.facebook.com/KEFaudiothailand