Tech talk
The Light of Audiophile ตอนที่ 5 หลักพิจารณาการเล่นเครื่องเสียงสเตอริโอแบบเสริมความถี่ต่ำ

The Light of Audiophile ตอนที่ 5 หลักพิจารณาการเล่นเครื่องเสียงสเตอริโอแบบเสริมความถี่ต่ำ           ก็คงยังเป็นข้อถกเถียงอยู่หลายหลากมุมมองในประสบการณ์ของนักเล่นเครื่องเสียงระดับออดิโอไฟล์ว่า ระบบสเตอริโอโฟนิค ที่ดีไซน์ระบบให้มีลำโพงสองคู่ซ้ายขวานั้นพอเพียงสำหรับการฟังหรือไม่ และที่มีการเสริมลำโพงตู้ Sub-Woofer มันจำเป็นจริงหรือเปล่า        - ทำให้ดีขึ้น? หรือทำให้แย่ลง?      บทความจากประสบการณ์ล้วนๆ ของผมชิ้นนี้ ไม่มีเจตนาแบบ “เห็นด้วยอย่างมาก” หรือ “ไม่เห็นด้วยอย่างมาก” ทั้งสองแนวความคิดนะครับ      หากท่านได้ติดตามงานเขียนบทความเครื่องเสียงของผมมายาวนานพอสมควรแล้ว ก็จะทราบว่า ผมยึดทางสายกลางเหมือนในแนวคิดทางพุทธศาสนาคือ มัชฌิมาปฏิปทา เมื่อเรามาแยกแยะ รายละเอียดเหตุผลกัน จะเห็นได้ทั้งจุดเริ่มต้น และจุดหมายปลายทางได้ว่า จะเดินทางสายใด ในความคิดส่วนตัวของผมก็คือ ระบบเครื่องเสียงที่ดี ควรสนองตอบความถี่จากเสียงดนตรีให้ครบถ้วน “เท่าที่จะเป็นไปได้” คือความหมายของ High Fidelity ในความเป็นจริง ถ้ายึดเอามาตรฐานการแสดงสด จากวงออเคสตร้า ที่มีความถี่เสียง น้ำหนักเสียง ความเข้มของเสียง ไดนามิคเร้นจ์ การตอบสนองความถี่ เวทีเสียง อิมเมจจุดตำแหน่งเสียงของชิ้นดนตรีเหล่านี้           จากขั้นตอน Recording ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบส่วนแรก คือ Sound Engineer ในห้องบันทึกเสียงที่เขาต้องพยายามทำให้ขั้นตอนของการบันทึกเสียงนั้น ต้องเก็บทุกรายละเอียดมาให้ได้สมบูรณ์แบบที่สุด ในขั้นตอน Playback เมื่อเรานำเพลงที่บันทึกมาจากสตูดิโอมาฟังกับเครื่องเสียงภายในบ้าน  จะต้องคิดคำนึงก่อนว่า Scale เสกลเสียงที่ถูกย่อส่วนลงมานั้น มี “อัตราสัดส่วนสมจริง”  การตอบสนองความถี่ แหลม กลาง ทุ้ม จะต้องย่อลงมาแบบมีอัตราส่วนที่ “สอดคล้องความเป็นจริง” เพราะไม่มีเครื่องเสียงชุดไหนที่สามารถให้ย่านความถี่ รายละเอียดเสียง เวทีเสียง ความเป็นชิ้นดนตรีต่างๆ เหมือนการแสดงสด เหมือนดนตรีคอนเสิร์ตได้ด้วยลำโพงเพียงคู่เดียว! คิดง่ายๆ ถ้าเวทีแสดงดนตรีกว้าง 15 เมตร ลึก 7 เมตร ถามว่า มีชุดลำโพงชุดใดในระบบโฮมยูส เสนอเวทีเสียงได้กว้างถึง 15 เมตรลึก 7 เมตร บ้าง?  ดังนั้น เราจึงต้องคิดถึงสเกล สัดส่วนดนตรีที่ย่อลงมาฟังในห้อง ที่ลำโพงของเรา วางห่างกันประมาณ 2-3 เมตร โดยทั่วไป มันน่าจะอยู่ที่ประมาณไหน ซึ่งอาจจะแค่ 1/3  หรือ 1/5 ของการย่อส่วนลงมาในห้องฟัง ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว ถ้าเข้าใจตรง Scale สัดส่วนดนตรีตรงนี้แล้ว เราก็จะเข้าใจว่า เครื่องเสียงที่เราฟังทุกวันนี้ก็คือการ ”ย่อส่วน“ ดนตรีจริงมาฟังในบ้านนั่นเอง ถ้าเรายึดเรื่องสเกลของเสียงเป็นหลัก เราก็คงจะพอทราบว่าชิ้นดนตรีต่างๆ นั้น ควรจะมีปริมาณของเสียงขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็นแหลม กลาง ทุ้ม เช่นเสียงของไวโอลิน เสียงของเปียโน เสียงของดับเบิ้ลเบส เสียงของทิมปานี เมื่อถูกย่อส่วนมาในบ้านแล้ว สเกลและสัดส่วนมันมีบาลานซ์ หรือความพอดีอยู่ที่ตรงไหน ถ้าเสียงชิ้นดนตรี ชิ้นใดชิ้นหนึ่ง ผิดสเกลสัดส่วนน้อยไปหรือมากไป ก็ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดีทั้งสิ้น          อย่างเช่นลำโพงวางบนขาตั้งคู่หนึ่งให้เสียงกลางแหลมได้ดี แต่เสียงต่ำด้านลึกของชิ้นดนตรีนั้นขาดหายไปตรงนี้ ถ้าเราจะทำให้สมจริงตามสเกลสัดส่วนมากขึ้นก็คือเล่นลำโพงที่ใหญ่ขึ้น เป็นระบบตั้งพื้น หรือรุ่น Top ที่การออกแบบนั้น สามารถผลักดันสเกลของดนตรีให้ได้สมบูรณ์แบบ       หรืออีกวิธีการหนึ่งก็คือการเสริม Sub-Woofer ลงไปในระบบ ในฐานะคนฟัง ถ้าทุกอย่างรู้สึกได้ว่าสเกลเสียงดนตรี มันพอดี สมส่วนอยู่แล้ว คุณจะเปลี่ยนลำโพงใหญ่ขึ้นหรือคุณจะเสริม Sub-Woofer ลงไปเพื่อให้มีเสียงต่ำมากขึ้นเพื่อสิ่งใด? เพราะมันจะทำให้สเกลสัดส่วนต่างๆ ของดนตรีก็ผิดไปหมด ตามหลักการที่ถูกต้องอะไรที่มันพอดีอยู่แล้วก็ควรพอเพียงอยู่ตรงนั้น  แต่ถ้ารู้สึกว่ามันขาด ก็เพิ่มเข้าไป หรือถ้าเกิน ก็ลดมันลงมา นี่ก็เป็นหลักการธรรมชาติพื้นๆ โดยทั่วไปอยู่แล้วนะครับ ผมจึงไม่ได้ปฏิเสธหลักการใดๆ ทั้งสิ้นในการเล่นเครื่องเสียง และถ้าเราจะเสริมอะไร ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในระบบอย่างใด เราควรรู้การตอบสนองความถี่ของชิ้นดนตรีด้วย           สมมุติว่า ตอนนี้ความถี่ต่ำในซิสเต็ม ของเราน้อยไป ทำให้อาจจะขาดเสียงของเครื่องดนตรีบางอย่างได้ เรามาดูกันว่า ถ้าจะเสริม Active Sub-Woofer ชุดเครื่องเสียงเราจะครอบคลุมชิ้นดนตรีใดบ้าง?          จากประสบการณ์ ในการทำระบบ Professional และ Home Use ความถี่ต่ำที่มีจุดตัดตั้งแต่ 250Hz ลงไปจนถึง 20Hz หรือต่ำกว่า ผมถือว่าเป็นย่านความถี่ครอบคลุมการทำงานของSub-Woofer            ยกตัวอย่างชิ้นดนตรีที่เกี่ยวข้อง กับความถี่ต่ำที่สำคัญช่วงนี้คือ - ออร์แกนท่อ / คีย์บอร์ด / ซินธีไซเซอร์ สนองความถี่ช่วงต่ำลึกได้ถึง 20Hz - เปียโน สนองความถี่ช่วงต่ำลึกได้ถึง 25Hz  - ทูบา / ฮาร์พ สนองความถี่ช่วงต่ำลึกได้ถึง 30Hz - ดับเบิ้ลเบส สนองความถี่ช่วงต่ำลึกได้ถึง 30Hz - ฮาร์ปซิคอร์ด สนองความถี่ช่วงต่ำลึกได้ถึง 40Hz - เบสกีต้าร์ สนองความถี่ช่วงต่ำลึกได้ถึง 40Hz - อคูสติค อิเลคทริกกีต้าร์ สนองความถี่ช่วงต่ำลึกได้ถึง 80Hz - เฟรนซ์ฮอร์น / ทรอมโบน / บาสซูน สนองความถี่ช่วงต่ำลึกได้ถึง 60Hz - เทนเนอร์แซ็กซ์ สนองความถี่ช่วงต่ำลึกถึง 120Hz         แม้แต่เสียงร้องของศิลปินนักร้องชายก็สนองตอบความถี่ช่วงต่ำลึกได้ถึง 100Hz  ดังนั้น เราก็คงต้องมาวิเคราะห์ สิ่งที่เราได้ยินจากระบบลำโพง-เครื่องเสียงของเราว่า มันสนองความถี่ต่ำได้พอเพียงจริงไหม ถ้ารู้สึกว่า พอแล้ว ลำโพงสตูดิโอคู่เดียวก็ถือว่าจบ  แต่ถ้าไม่… ตรงนี้ ก็ตัดสินใจว่า จะเพิ่ม Active Sub-Woofer หรือไม่ แล้วแต่ความรู้สึกของเราจะกำหนดลงไปครับ ถ้าสมมุติว่า ต้องเพิ่มความถี่ต่ำด้วย Active Sub-Woofer ซึ่งมันจะมีหลักต้องพิเคราะห์ อีกพอสมควร ผทจะมานำเสนอกันต่อในตอนถัดไป ใน The Light of Audiophile ตอนที่ 6 ครับ  

The Light of Audiophile ตอนที่ 4 บทวิพากย์ วิธีการเล่นเครื่องเสียงหลากรูปแบบ

The Light of Audiophile ตอนที่ 4 บทวิพากย์ วิธีการเล่นเครื่องเสียงหลากรูปแบบ             ขออนุญาตตอกย้ำอีกครั้งในบทความชุดนี้นะครับ ว่าเป็นเรื่องของประสบการณ์ ความเห็นต่างๆ มีความผิด-ถูก มากน้อย จะมีความตรงต้องกับหลักวิชาการ หรือไม่ มาก-น้อยเพียงไร ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของทุกท่าน เพราะคือนี่คือประสบการณ์ของผมเท่านั้น            จากนี้ไปจะบอกเล่า ถึงประสบการณ์การเล่นเครื่องเสียงรูปแบบหลากหลายที่ได้รับประสบการณ์มาตลอดช่วงชีวิตของการเล่นเครื่องเสียงครับ ดังที่กล่าวในบทที่ผ่านมา การเล่นเครื่องเสียง โดยสรุปมี 1. การเล่นในระบบสเตอริโอเชิงเดี่ยว หรือถ้านับการเชื่อมต่อสายลำโพงจะถือเป็น Single-Wire 2. การเล่นในระบบสเตอริโอเชิงซ้อน การเชื่อมต่อสายลำโพงจะเป็น Bi-Wire 3. การเล่นในระบบสเตอริโอเชิงซ้อน การเชื่อมต่อสายลำโพง และแอมป์จะแยกอิสระ เป็น Bi-Amplifications หรือ Tri-Amplifications  4. การเล่นในระบบสเตอริโอเชิงซ้อน แบบเพิ่ม Super-Tweeter เพิ่ม Active Sub-Woofer           ในแต่ละรูปแบบหากกล่าวจากประสบการณ์จริงๆ โดยสรุป ไม่มีแบบใดดีที่สุด หรือแย่ที่สุด เป็นเพียงวิถีทางหรือกรรมวิธีการเข้าถึงคุณภาพ และศักยภาพของเสียง ตามความตั้งใจของผู้เล่นเครื่องเสียงเป็นหลัก 1. ระบบสเตอริโอเชิงเดี่ยว แบบ Single-Wire มีข้อดีคือปราศจากความซับซ้อนใดๆ มีแหล่งโปรแกรมและแอมปลิไฟร์หนึ่งเครื่อง ลำโพงหนึ่งคู่ทุก อย่างเริ่มต้นและจบลงได้อย่างง่ายดาย         โอกาสที่จะได้รับความผิดเพี้ยนจากการเชื่อมต่อระบบที่ซับซ้อนแทบไม่มี ซึ่งหากเลือกชุดเครื่องเสียงที่ดีและแมตชิ่งก็จะได้คุณภาพที่ดีมากเช่นกัน          จุดอ่อนอาจจะไปอยู่ที่การปรับปรุงหรือการยกระดับนั้น อาจจะต้องลงทุนแบบยกอุปกรณ์ใหม่ไปเลย หมายถึงต้องเปลี่ยนอุปกรณ์เป็นชิ้นๆ ไป และอาจจะไม่ใช่ชิ้นเดียวด้วย            ยกตัวอย่างเมื่อเล่นไประยะหนึ่ง แล้วต้องการเสียงที่มีรายละเอียดและพลังมากยิ่งขึ้น ต้องเปลี่ยนลำโพง รุ่นใหญ่กว่าเดิม ก็อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนแอมป์รุ่นใหญ่ไปด้วย มิฉนั้นจะไม่สมดุลซึ่งกันและกัน         ดังนั้น การเริ่มต้นเล่นแบบสเตอริโอเชิงเดี่ยว แบบ Single-Wire สมควรต้อง “เผื่อแอมป์” หรือ “เผื่อลำโพง” ให้เป็นรุ่นที่สูงกว่าปกติ อย่างใดอย่างหนึ่งถ้าทำได้           เพราะเมื่อถึงช่วงเวลาที่ต้องการเปลี่ยนแปลงใดๆ จะได้ไม่ต้องใช้งบประมาณมากเกินจำเป็น หรือเกิดความยุ่งยากกว่า เปลี่ยนชิ้นหนึ่ง แล้วจะต้องเปลี่ยนอะไรตามมาอีก            2. การเล่นในระบบสเตอริโอเชิงซ้อน ด้วยการเชื่อมต่อสายลำโพงเป็น Bi-Wire ในประสบการณ์ส่วนตัวผม ยอมรับว่าไม่ค่อยแนะนำวิธีการนี้ เพราะที่ผ่านมา ลำโพงแบบ ไบร์-ไวร์ หลายคู่ก็มักจะมีปัญหาอาการผิดเฟสได้ง่าย ถ้าแอมป์ที่ใช้ขับนั้นมีกำลังไม่มากพอ หรือศักยภาพในการควบคุมลำโพงไม่ถึง            เมื่อการควบคุมย่านความถี่ อิมพิแดนซ์ต่างๆ ไม่แม่นยำ ผลตามมาคือเสียงแต่ละย่านความถี่เปลี่ยนแปลงวูบวาบเกือบตลอดเวลาของการเพลย์แบ็ค           แต่ถ้าจัดระบบดี แอมป์ดี ลำโพงดี สายลำโพงดี เข้ากันหรือแมตช์กันได้ลงตัว ระบบนี้ก็จะมีข้อดีเด่นตรงเสียงจากลำโพงจะเปิดกว้างมากขึ้น เสียงหลุดลอยออกจากตู้ และมีมิติชัดเจนขึ้น           แต่การใช้สายลำโพงสองชุด จากแอมป์ ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณ ที่ไม่ค่อยจะคุ้มค่านัก            ระหว่างใช้สายลำโพงรุ่นสูงๆ ชุดเดียว ในระบบ Single-Wire มักจะดีกว่า ระบบ Bi-Wire ที่ต้องแบ่งงบไปใช้สายลำโพงระดับปานกลางสองชุด          ผมจึงไม่ค่อยแนะนำระบบ Bi-Wire ถ้าไม่มีความจำเป็นจริงๆ          อีกประการหนึ่ง การเล่นระบบ Bi-Wire นั้น มักจะทำให้โทนัลบาลานซ์ของย่านความถี่ควบคุมยาก เสียงกลางแหลมมักจะพุ่งล้ำหน้าเกินจริง            การประสานกันของตัวขับเสียงแหลมและเสียงทุ้ม เมื่อจะต้องทำการเปล่ง “เสียงกลาง” หรือช่วง Midrange ออกมาอาจจะลักลั่นกันได้ง่ายอีกด้วย          เรียกว่ามีข้อดีตรงเสียงเปิดกว้างขึ้น แต่ถ้าในระบบมีอะไรเป็นจุดอ่อน ย่อมผิดเฟสได้ง่าย บางครั้งฟังขาดๆ เกินๆ ไม่เป็นธรรมชาตินัก           จึงอยากให้ถือเป็นข้อพิจารณา ถ้าจะเล่นระบบ Bi-Wire ทุกอย่างในระบบต้องเข้าขั้นดีเยี่ยมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ         3. การเล่นในระบบสเตอริโอเชิงซ้อน ทั้งการเชื่อมต่อสายลำโพง และแอมป์จะเป็น Bi-Amplifications แยกส่วนทั้งหมด อาจจะมากกว่า เช่นเป็น Tri-Amplifications ก็เป็นไปได้           เพราะรูปแบบนี้ เริ่มมาจากระบบงาน PA หรือ Professional ที่สามารถแยกย่านความถี่ ตั้งแต่ 2 ถึง 4 หรือ 5 ย่านความถี่ ให้แอมปลิไฟร์ขับลำโพง แต่ย่านความถี่อย่างอิสระ           ดังที่เรียนได้ว่าอะไรก็ตามที่เป็นระบบที่มีความสลับซับซ้อนสูง ก็จะอาจจะเกิดจุดความเพี้ยนของรอยต่อ ได้เสมอ            ต้องพิจารณาตั้งแต่อิเล็กทรอนิกส์ ครอสโอเวอร์  ปรีแอมป์ เพาเวอร์แอมป์ สายสัญญาณ สายลำโพง ต่อเชื่อมระหว่างระบบอย่างรอบคอบที่สุด มิฉะนั้นระบบขนาดใหญ่เช่นนี้ จะผิดพลาดได้ทุกจุด           ข้อดี ก็คือเราสามารถควบคุมกำหนดคุณภาพเสียง ศักยภาพเสียงระดับความดังย่านความถี่ ที่ปรับแต่งให้เป็นไปตามความต้องการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไปจนถึงจุด “อุดมคติ” ได้             แต่ในความใหญ่ของระบบนั้น ก็จะมักจะแลกมาด้วย ความประณีตพิถีพิถัน ความชำนาญของการจัดซิสเต็ม การจูนอัพ การเซ็ตอัพที่เพียบพร้อมจริงๆ เพราะหากพลาดจุดใด จุดหนึ่ง มีสิทธิ์ที่จะยุ่งเหยิง แก้ไขปัญหาไม่จบสิ้นได้ด้วยเช่นกัน            ในปัจจุบันมีลำโพงระดับไฮเอ็นด์บางคู่มีข้อแนะนำเรื่องของแอมปลิไฟร์  ที่จะใช้ในระบบ Bi-Amplifications หรือ Tri-Amplifications  รวมถึงบางรุ่น ภายในตู้ได้บรรจุแอมป์ขับลำโพงเสียงทุ้ม ซับวูฟเฟอร์มาในตัวอีกต่างหาก              หรือลำโพงบางคู่มีเครื่องอีเล็กทรอนิกส์ครอสโอเวอร์มาให้เสร็จสรรพ เพื่อตัดแบ่งความถี่ให้กับแอมป์            ผมไม่แนะนำให้นักเล่นมือใหม่ลงไปเล่นถึงระบบ แยกแอมปลิไฟร์ขับในแต่ย่านความถี่แบบนี้นะครับ ถ้าไม่มีผู้เชี่ยวชาญปรับแต่ง จูนอัพ และติดตั้งให้           เข้าทำนองว่า ระบบที่ใหญ่ที่สุดแบบนี้ พร้อมจะดีอย่างน่าใจหาย และพร้อมจะร้ายจนปวดศีรษะ ไม่เว้นแต่ละวันก็ได้เช่นเดียวกัน           4. การเล่นในระบบสเตอริโอเชิงซ้อน แบบเพิ่ม Super-Tweeter เพิ่ม Active Sub-Woofer ระบบนี้ แรกสุดเป็นการออกแบบเพื่อแก้ไขความถี่ไม่สมบูรณ์ของระบบเสียง ที่อาจจะเนื่องมาจาก ข้อจำกัดของระบบ หรือสภาพอะคูสติกต่างๆ ที่ทำให้ย่านความถี่ไม่ครบตามที่ต้องการ           แบบแรก เสริมตัวขับความถี่สูงสุดโดยเฉพาะ คือ Super-Tweeter เข้าไปในลำโพงเดิม ด้วยการต่อพ่วงเข้าไปในชุดลำโพงเดิม          แบบที่สอง เสริม Sub-Woofer เข้าไปในลำโพงชุดเดิม วิธีการนี้ก็คือ เป็นการเสริมการเล่นแบบสเตอริโอเชิงเดี่ยว ด้วยการเพิ่มอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่าง คือเพิ่มความถี่สูงช่วงบน และความถี่ต่ำช่วงล่าง          กรณีของซูเปอร์ทวีตเตอร์ คือการเพิ่มย่านความถี่สูง ที่สูงกว่า 20kHz  ขึ้นไป จนถึง 50,000Hz            ซึ่งย่านความถี่ตรงนี้ เริ่มมีการให้ความสำคัญอันเนื่องมาจาก การกำเนิดของระบบดิจิตอลออดิโอ Super Audio CD รวมถึงความต้องการสนองตอบดนตรีสมัยใหม่ที่ใช้เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์มากยิ่งขึ้น         ผู้ออกแบบซูเปอร์ทวีตเตอร์ให้คำอธิบายว่า ลำโพงซึ่งตอบสนองความถี่ 20 ถึง 20,000 เฮิร์ตซ์ทั้งหลาย ในความเป็นจริงนั้น ย่านความถี่ช่วงปลายที่ 20,000 เฮิร์ตซ์ จะมีลักษณะเอียงลาดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ได้ยินความถี่ช่วงปลายได้ไม่ถึง 20,000 เฮิร์ตซ์จริง          ซูเปอร์ทวีตเตอร์จึงเข้ามาช่วยต่อเติมย่านความถี่ตรงนี้ ให้ย่านความถี่เสียงแหลมนั้นไปไกลสูงสุดยิ่งขึ้น           การเสริมซูเปอร์ทวีตเตอร์จะทำให้เสียงโดยรวมของลำโพงนั้น มีย่านความถี่ช่วงปลายที่มีรายละเอียดสูงมากยิ่งขึ้น โดยซูเปอร์ทวีตเตอร์ อาจจะออกแบบให้มีตัวปรับหรือเลือกย่านความถี่จุดตัดที่เหมาะสมจากตัวซูเปอร์ทวีตเตอร์ด้วย            การเสริมซูเปอร์ทวีตเตอร์นั้นมักไม่ค่อยมีผลเอฟเฟ็กต์อะไรรุนแรงกับลำโพงเดิม เป็นการจัดการเซ็ตอัพที่ง่าย แต่ควรจะถามตัวเองด้วยว่าเรายังขาดความถี่ช่วงปลายเสียงแหลมจริงหรือไม่ และถ้าขาดเราจะเพิ่ม ซูเปอร์ทวีตเตอร์ของแบรนด์ใดเข้าไปในระบบจึงจะเหมาะที่สุด โดยไม่ทำให้บุคลิกดั้งเดิมของลำโพงหลักนั้นเปลี่ยนแปลงไป           แบบที่สอง การเล่นในระบบสเตอริโอเชิงซ้อน แบบเพิ่ม Active Sub-Woofer           ต้องยอมรับว่าในปัจจุบัน มีการพูดถึงและวิพากษ์วิจารณ์กันมากในเรื่องของการเสริม Active Sub-Woofer เข้าไปในระบบดั้งเดิมที่เป็นสเตอริโอโฟนิค           ทางสายหนึ่งก็มีการแอนตี้ ว่าไม่ดี อีกทางสายหนึ่งก็เปิดรับว่าเป็นการเสริมย่านความถี่เสียงต่ำ ที่ทำให้ระบบนั้น สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น           อย่างไรก็ตามในฐานะผมเป็นนักเล่นซึ่งมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับเสียงดนตรีจริงที่เวทีคอนเสิร์ต ในคอนเสิร์ตฮอลล์ รวมถึงลงไปทำงาน ในห้องบันทึกเสียง กับ Sound Engineer ซึ่งเป็นผู้บันทึกเสียงเพลงต่างๆ ให้เราได้ฟัง           อยากจะเสนอความคิดเห็นว่า หากวัดด้วยอัตราส่วนการย่อสเกลดนตรีจริง ลงมาอยู่ในห้องฟัง สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นในระบบเสียงนั้น - หากขาด เราก็สามารถเติมเข้าไปได้ - หรือสิ่งใดที่พอดีอยู่แล้วก็ไม่ควรจะเสริมเข้าไป           ทุกสิ่งอยู่ที่วิจารณญาณ และความพึงใจของผู้ที่เป็นเจ้าของซิสเต็มเอง           เราก็ต้องยอมรับกันว่าย่านความถี่เสียงต่ำลึกนั้นเป็นเรื่องที่เป็นปัญหามาตลอดสำหรับผู้ที่เล่นระบบเสียงภายในบ้าน          ลำโพงคู่หนึ่งๆ คู่เดียว อาจจะไม่สามารถลงความถี่ต่ำลึกได้อย่างพอเพียง จึงได้เกิดวิธีการเล่นด้วยการเสริม Active Sub-Woofer เข้าไปในระบบ           ดังที่เรียนไว้เบื้องต้นว่าการเล่นเครื่องเสียงด้วยวิธีการใดก็ตาม จะไม่มีวิธีใด ที่ดีที่สุดและแย่ที่สุด แต่อาจจะมีวิธี ซึ่งเราทุกคนสามารถไปถึงยังจุดหมายได้อย่างสมบูรณ์           การเสริม Active Sub-Woofer เข้าไปในระบบนั้น แรกเริ่มเดิมที มีผู้ออกแบบผู้ผลิตลำโพงหลายบริษัท มีการนำเสนอ Active Sub-Woofer ให้กับลำโพงบางรุ่นของเขา เพื่อให้ได้ความถี่อันครบถ้วนมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างให้เห็นได้ชัดเจนก็คือ         Rogers LS3/5A ที่มีการออกแบบ AB-3a ลำโพง Active Sub-Woofer ให้สามารถเสริมความถี่ต่ำเข้าไปได้ มีจุดตัดความถี่ มีที่ปรับระดับอินพุต เฟสบาล้านซ์ ให้กลมกลืน ในห้องที่อาจจะมีความแปลกแยกแตกต่างกันไป            จุดเด่นของการใช้ Active Sub-Woofer ก็คือ ถ้าจัดวางตำแหน่งและเซ็ตอัพได้ถูกต้อง ใช้จำนวนตู้ Sub ให้พอดีกับสเกลของเสียงดนตรี (ไม่มากเกินหรือน้อยเกิน) การฟังเพลงจากชุดเครื่องเสียงจะดูสมจริงมากยิ่งขึ้น            แต่ก็ต้องระวังในเรื่องของการเซ็ตอัพหรือการใช้จำนวนตู้ Active Sub-Woofer เนื่องจากว่าย่านความถี่ต่ำนั้นคลื่นความถี่ค่อนข้างยาวมากกว่าความถี่อื่น (แม้ว่าเสียงจะเดินทางมาถึงเราพร้อมกัน) แต่ความถี่ต่ำก็มักจะเป็นมลพิษขึ้นมาได้เช่นกัน           อาทิเกิดเสียงเบสบวมทั้งห้อง เสียงเบสเข้าไปกลบเสียงกลางแหลมเป็นต้น         ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับวิธีการเสริมการใช้งาน การเซ็ตอัพที่เหมาะสมในแต่ละซิสเต็ม           ผมจะขอนำมาบอกเล่าประสบการณ์ในตอนถัดไปเพื่อที่ว่าบทความในแต่ละตอนจะไม่ยาวเกินไป          พบกันในในตอนที่ 5 ครับ  

The Light of Audiophile ตอนที่ 3 การเล่นเครื่องเสียงโฮมยูสด์หลากหลายแนวทาง

The Light of Audiophile ตอนที่ 3 การเล่นเครื่องเสียงโฮมยูสด์หลากหลายแนวทาง            บทความแต่ละบท เริ่มต้นจากประสบการณ์ ความคิดของผมเอง ไม่ได้อ้างอิงตำราใดๆ เป็นหลัก แค่เหมือนคนที่ออกมาบอกเล่าประสบการณ์ในฐานะนักเล่นเครื่องเสียง ที่ไม่ใช่นักวิชาการ นะครับ          ดังนั้นการอ่านจะพึงมีประโยชน์ ก็ต่อเมื่อท่านทราบว่า ท้ายที่สุดของการเล่นเครื่องเสียง คือปลายทางที่เราได้ยินเสียงและมีความสุขเท่านั้น           ไม่ได้ชวนท่านท่องตำรา หาเหตุผลทางหลักฟิสิกส์ ถ้าแบบนั้น ท่านสามารถศึกษาได้จากตำราต่างๆ ได้อยู่แล้ว            ดังนั้น จึงต้องขออภัย ที่ศัพท์บัญญัติ ของผมในฐานะคนเล่นเครื่องเสียง จึงเป็นศัพท์เฉพาะตัว ไม่สามารถยึดเป็นหลักการสากลใดๆ ได้เลย          แต่เป็นแนวทางหนึ่ง ที่คนเล่น สื่อสารถึงคนเล่นในแบบเดียวกัน เพื่อความเข้าใจง่ายนะครับ             การเล่นเครื่องเสียงมีพัฒนาการมาเป็นระยะเวลายาวนาน นับตั้งแต่เสียงระบบโมโนMonophonic ช่องเสียงเดียว มาถึงระบบสองช่องเสียง Stereophonic และบางช่วงเวลาก็แผลงออกไปถึง Quadraphonic หรือระบบสี่ช่องเสียง (ที่ได้สูญสลายแนวทางไปแล้ว)             ถ้าจะกล่าวว่า ส่วนที่เหลือคือ ทั้งระบบเสียงช่องเสียงเดียว และระบบสองช่องเสียงนั้น ในปัจจุบันความนิยมที่ถูกยอมรับเป็นสากลคือ ระบบสองช่องเสียง (ระบบสเตอริโอ)             ระบบ Stereophonic ที่นักบันทึกเสียง (Recording) และคนฟัง (Playback) เห็นพ้องกัน มานานแล้ว ว่าพอเหมาะ พอควร สำหรับการแสดงผล ทั้งรายละเอียด การแยกแยะ การประสาน เวทีเสียง ตำแหน่ง และอิมเมจของเสียง เป็นที่ยอมรับได้            แม้สตูดิโอจะสามารถบันทึกเสียงดนตรี แยกแยะออกมาได้ ถึง 48 แชนแนล ในทางปฏิบัติ แต่ที่สุด Sound Engineer ก็จะต้องนำทั้งหมดมามิกซ์รวมกันให้เหลือเพียง 2 แชนแนล อยู่ดี           ส่วนระบบโมโนนั้น จะอยู่ในกลุ่มนักเล่นวินเทจระดับไฮเอ็นด์ ที่ยังคงหลงใหลในเสน่ห์บางประการของช่องเสียงตรงๆ แบบแชนแนลเดียว            เรามาทบทวน องค์ประกอบระบบเสียงมาตรฐาน Stereophonic ของโฮมออดิโอ นะครับ ที่ผมจะแยกออกเป็น สามส่วนหลัก และสองส่วนรอง คือ            สามส่วนหลักได้แก่ 1. แหล่งโปรแกรม อันได้แก่ เครื่องเล่นแผ่นเสียง เครื่องเล่นซีดี เครื่องรับวิทยุหรือจูนเนอร์ เทปรีล สตรีมเมอร์ ที่จะมีหน้าที่ในการป้อนสัญญาณอนาล็อก หรือดิจิตอล ให้กับภาคขยายอีกทีหนึ่ง             ส่วนที่เครื่องเล่นบางประเภทจะไปแยกรายละเอียดของระบบเป็น ภาคปรีโฟโน ภาค DAC รองรับและถอดรหัสสัญญาณดิจิตอล ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง       2. ภาคขยาย หรือ Amplifier ที่มีหน้าที่อยู่สองส่วน - ส่วนแรกคือ ภาคปรีแอมป์ Pre-Amplifier ที่จะนำเอาสัญญาณขนาดเล็กมาปรับแต่งให้เหมาะสม และคัดสรร จัดส่งไปยังภาค Power Amplifier หรือภาคขยาย สำหรับขยายสัญญาณให้ใหญ่ขึ้น พอเพียงที่จะขับเสียงลำโพงได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ         - ในภาคขยายสองส่วนหลักนี้ จะรวมกันหรือแยกกัน เพื่อจุดประสงค์ในการพัฒนาหรือปรับปรุงในวันข้างหน้าก็แล้วแต่จุดประสงค์ของผู้ออกแบบ ถ้ารวมกันเราเรียกว่า Integrated Amplifier นั่นเอง              และถ้ามีการแทรกอุปกรณ์ปรับแต่งเสียงและย่านความถี่เข้าไป เราอาจจะมี Sound Processer หรือ Equalizer เสริมเข้าไปด้วย         3. ลำโพง ซึ่งก็จะมีการออกแบบที่พลิกแพลงแตกต่างกันไปตามรสนิยมของผู้ฟัง และไอเดีย หรือการแปลเจตนารมย์ เสียงดนตรีของผู้ผลิต            ทั้งลำโพงตู้เปิด ลำโพงตู้ปิด ลำโพงแพสสีพเรดิเอเตอร์ ลำโพงแยกส่วน ลำโพงไร้ตู้ ลำโพงSub-satellite ลำโพงป้อนไฟฟ้า-อีเล็กโทรสแตติก และอื่นๆ         ในรายละเอียดเรื่องนี้จะนำไปกล่าวกล่าวในส่วนที่เป็นเรื่องราวของลำโพงโดยเฉพาะ สองส่วนรอง ที่กล่าวถึงคือ 1. อุปกรณ์เพื่อการเชื่อมต่อ เช่นสายลำโพง สายนำสัญญาณ สายไฟ สายอากาศ สายอนาล็อก สายดิจิตอล       2. อุปกรณ์เพื่อการปรับแต่งภายนอกอาทิ ตัวรอง อุปกรณ์วางทับบนเครื่อง และอื่นๆ ที่อาจจะจัดให้เป็น แอกเซสซอรี่ ส่วนเสริม            ทั้งหมดที่นำเสนอมานี้ ดูเหมือนว่าท่านผู้อ่านก็คงคิดว่าใครเค้าก็รู้ทั้งนั้น ละ?  แต่ที่ผมอยากจะนำมาทบทวนอีกครั้งก็เพื่อให้เราได้เข้าใจว่า โดยระบบหลัก และระบบรองนี้ เราได้นำมาผสมผสานปรุงแต่ง แยกแยะ ออกไปด้วยวิธีการเล่นแบบใดบ้าง           เพราะการเล่นเครื่องเสียงในระบบสเตอริโอโฟนิกนั้น ยังมีวิธีการเล่นที่แตกต่างหรือใช้เครื่องมือให้มีความสลับซับซ้อนออกไปอีก  ดังจะยกตัวอย่างดังต่อไปนี้ 1. การเล่นในระบบสเตอริโอเชิงเดี่ยว ยกตัวอย่างภาพให้เห็นง่ายๆ ก็คือ แอมป์หนึ่งเครื่อง ต่อสายลำโพงหนึ่งชุด แยกซ้ายขวาให้กับลำโพงหนึ่งคู่ นั่นคือ Stereophonic หรือ ในการเชื่อมต่อลำโพงจะใช้สายชุดเดียว หรือ Single Wired          2. การเล่นในระบบสเตอริโอเชิงซ้อน ด้วยการใช้สายลำโพงแยกออกเป็น 2 ชุด เพื่อแยกเสียงแหลม และเสียงทุ้มออกจากกันอย่างเป็นอิสระ สำหรับระบบลำโพงชนิด Bi-Wired             วิธีการนี้หลายคนเชื่อว่าจะทำให้เสียงปลอดโปร่งและเข้าถึงรายละเอียดมากขึ้น แต่จุดอ่อน คือถ้าแอมปลิไฟล์คุณภาพไม่พอเพียงจะทำให้เกิดการผิดเฟสของเสียงได้ (Phase shift)         3. การเล่นในระบบสเตอริโอเชิงซ้อนด้วยการแยกแอมป์ ขับความถี่ เป็น 2 หรือ 3 ชุด หมายถึงต้องใช้แอมป์ 2 หรือ 3 เครื่อง แยกกันขับความถี่ให้กับลำโพง เป็น  - ไบ-แอมป์ Bi-Amplification 2 ชุด - และไตร-แอมป์ Tri-Amplification 3 ชุด          ลำโพงที่นำมาใช้ร่วมกัน ก็จะต้องแยกขั้วลำโพงออกเป็น 2 หรือ 3 ชุด ด้วยเช่นกัน          ระบบนี้ จะไม่ใช่แค่เพียงแยกสายออกมาเป็นสองชุด สามชุด แต่จะแยกแอมป์ขับความถี่ ทุ้ม กลาง แหลม ออกจากกันไปด้วยเลย             กล่าวได้ว่า ระบบ ไบ-แอมป์ หรือไตร-แอมป์ มีผลให้ก่อกำเนิดการออกแบบลำโพง Subwoofer แบบ passive ขึ้นมา  โดยลำโพงซับวูฟเฟอร์ชนิดนี้จะต้องใช้แอมปลิไฟร์ ภายนอกมาขับเสียงย่านความถี่ต่ำเฉพาะ          ระบบ Bi-Amplifications นี้ค่อนข้างที่จะมีความสลับซับซ้อนมาก และจะให้คุณภาพเสียง รายละเอียดเสียงในระดับที่สูงมากเช่นเดียวกัน เพียงแต่ในแต่ละช่วง ของการเชื่อมต่อ ย่อมมีโอกาสเกิดความผิดพลาดได้เช่นเดียวกัน            สิ่งเหล่านี้ มีมาก่อนที่ระบบของซับวูฟเฟอร์จะพัฒนามาเป็นแบบบรรจุแอมปลิไฟล์เข้าไปในตัวตู้ เป็นแบบแอคทีฟซับวูฟเฟอร์ (Active Subwoofer)          ระบบ Bi-Amplification หรือTri-Amplifications นั้น เพาเวอร์แอมป์ที่ใช้ขับเสียง จะต้องรับสัญญาณผ่านมาจากตัวแอคทีฟ ครอสโอเวอร์ Active Crossover Network ที่มีหน้าที่ในการช่วยตัดแบ่งความถี่ ในแต่ละย่าน คือ High – Mid - Low            ระบบนี้ เป็นที่นิยมในกลุ่มนักเล่นประเภทไฮเอ็นด์ หรือออกแนวซีเรียสออดิโอ มาช้านาน แม้ปัจจุบันจะนิยมระบบสเตอริโอเชิงเดี่ยวธรรมดา แต่นักเล่นระดับลึกๆ ยังคงมีการเล่น Bi-Amplification อยู่           หรือลำโพงไฮเอนด์บางรุ่นบางแบรนด์ ก็ยังคงนำเอาระบบ แยกแอมป์ ขับโดยมีอีเล็กทรอนิกส์ครอสโอเวอร์ เป็นตัวตัดแบ่งความถี่มาใช้สำหรับแอมปลิไฟร์ เช่น B&W Nautilus เป็นต้น           เป็นสิ่งที่น่าแปลกอยู่ไม่น้อยที่ระบบซึ่งใช้อิเล็กทรอนิกส์ครอสโอเวอร์ตัดย่านความถี่ สู่เพาเวอร์แอมป์หลายเครื่อง สำหรับขับลำโพงแยกกันดังกล่าวนี้ กลับมีใช้อยู่ในระบบเครื่องเสียงงาน Professional และเครื่องเสียงรถยนต์ มากกว่าเครื่องเสียงบ้าน          การเล่นเครื่องเสียงปัจจุบันยังแบ่งออกเป็นการออกแบบระบบเสียงเฉพาะตัวอีก ระหว่างการเล่นเครื่องเสียงสเตอริโอ เชิงเดี่ยว เบสิก กับวิธี “การเสริมบน เสริมล่าง” ของย่านความถี่ นั่นคือ   - เสริม Super Tweeter  (เสริมบน) - เสริม Active Subwoofer (เสริมล่าง) บ้างก็เรียกวิถี การเล่นระบบเสียงออกเป็น  ระบบ 2.0 Channel ระบบ 2.1 หรือ 2.2 Channel และไปไกลถึงการเสริม Active Subwoofer แบบ Stack Subwoofer            สำหรับส่วนตัวผม เป็นคนเล่นเครื่องเสียงแบบยึดเอาความแฟลต สมจริง ใกล้เคียงเสียงดนตรีธรรมชาติ ไม่ได้มีความเห็นใดๆ ที่ขัดแย้งในวิธีการ ที่จะนำพาเราไปสู่ความสุขในเสียงดนตรีในทุกวิธีการ            ถ้าตราบใด เสียงที่ย่านความถี่ใดขาดไป ไม่สมจริง เราก็สามารถเติมเต็มได้  จะต้องมานั่งคิดว่า มันผิดหรือถูก ไม่เหมือนคนอื่น เพื่ออะไรกัน เล่นเองก็ความสุขของตนเองครับ ใครจะมาทุกข์หรือสุขแทนเราได้          หรือถ้ามันพอดีอยู่แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเสริมเข้าไปให้มันล้น หรือเกินจากความจริง  สิ่งเหล่านี้ ต้องถามตัวเองมากกว่า            สิ่งเหล่านี้ วัดได้จากประสบการณ์เกี่ยวกับคุณภาพเสียง และสเกลของเสียงเป็นสำคัญ ซึ่งเคยอธิบายในหัวข้อ Tonal Balanced ไปหลายครั้งแล้ว         เพียงแต่ผมไม่อยากเรียกว่า เป็นระบบ 2.0 หรือ 2.1 , 2.2 เพราะปกติการมิกซ์เสียงในระบบStereophonic ไม่มีสตูดิโอไหน ทำการมิกซ์ ช่องเสียง .1 มาเป็นการเฉพาะ เหมือนการมิกซ์เสียงระบบเซอร์ราวด์ในภาพยนตร์         จึงสมควรเรียกว่า ระบบเสียงสเตอริโอ นี่ละครับ หรือจะเรียกว่า Stereophonic plus Subwoofer หรือ Stereophonic plus Super Tweeter ก็น่าจะกระจ่างชัดกว่า          ผมไม่อยากกล่าวว่าการเล่นเครื่องเสียงด้วยวิธีการต่างๆ อะไรผิด อะไรถูก ทั้งซิงเกิ้ลไวร์, ไบร-ไวร์, ไบร์-แอมป์ เสริมซูเปอร์ทวีตเตอร์ เสริมซับวูฟเฟอร์  การวิพากษ์ วิจารณ์สิ่งใด ควรอย่างยิ่งที่จะต้องเปิดใจให้กว้าง อย่าใช้ความคิดที่คับแคบที่คอยทำให้เราคอยจำกัดตัวเองไปตลอด ทุกรูปแบบและวิธีการเล่นเครื่องเสียงนั้นไม่มีรูปแบบใดที่ถือว่าสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ล้วนมีทั้งจุดอ่อนจุดแข็งที่จะต้องปรับแก้ไขให้สมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น สิ่งที่ควรพิจารณามากที่สุดน่าจะเป็นเรื่องของ..         วิถีทางใด ที่ “พอดี - พอใจ” สะดวก เหมาะสมสำหรับเรา นั่นละครับสำคัญที่สุด  ทุกอย่างมีเหตุและผลรองรับอยู่ในตัวเองเสมอครับ โปรดติดตาม เรื่องราวเบื้องลึกในประสบการณ์เล่นเครื่องเสียงกันต่อไปครับ           ซึ่งครั้งต่อไปจะมาแชร์ประสบการณ์  รูปแบบวิธีการเล่น จุดเด่น จุดด้อย ปัญหาของ Single Wired, Bi-Wired, Bi-Amplifications, Stereophonic plus Sub-Woofer and Super Tweeter         ขอบพระคุณ ที่ติดตามกันต่อเนื่องครับ  

The Light of Audiophile ตอนที่ 2 กฏธรรมชาติ ไม่มีอะไรดีที่สุด ไม่มีอะไรแย่ที่สุด

The Light of Audiophile ตอนที่ 2 กฏธรรมชาติ ไม่มีอะไรดีที่สุด ไม่มีอะไรแย่ที่สุด การพัฒนาการของเครื่องเสียงหรือการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการออกแบบต่างๆ นานาไม่เคยหยุดนิ่ง ก็เพราะว่านักออกแบบทั้งหลายย่อมทราบถึง ความเป็นจริงที่ว่า ไม่มีอะไรเพอร์เฟ็ค โดยปราศจากจุดอ่อน          ทุกอย่างที่เคยออกแบบมาในอดีตนั้นแม้ว่าจะดีที่สุดในความคิดไอเดียแล้ว แต่ก็ยังมีจุดบกพร่อง ที่สมควรแก่การแก้ไขปรับปรุงอยู่เสมอ           เมื่อมีการค้นพบสิ่งที่ดีกว่า วงจรภาคขยายจากคุณภาพเสียงระดับ “ให้พอได้ยิน” ก็กลายเป็น เข้าถึง “ความเป็นจริง” หรือ High Fidelity มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ          หลักวิศวกรรมเครื่องเสียงในเชิงอนาล็อกที่คิดค้นกันมานานนับศตวรรษอาจจะกล่าวได้ว่า เมื่อถึงจุดหนึ่ง ไม่มีอะไรที่เรียกว่า วงจรใหม่ แต่เป็น “พื้นฐานวงจรเดิมที่ปรับปรุงพัฒนาใหม่” เท่านั้น              วงจรขยายแบบคลาส A มีข้อดีตรงการทำงานของวงจรและอุปกรณ์ เป็นเชิงเดี่ยว ได้คุณภาพเสียงไหลลื่นไร้รอยสะดุด แต่มีอัตราสูญเสียเป็นความร้อนสูงเกินไป            วงจรคลาส B ที่มีอุปกรณ์ทำงาน “เชิงคู่” ช่วยในการผลักดัน เหมือน “วิ่งผลัด” ทำให้ได้มาซึ่งกำลังขับสูง แต่เสียงจะออกในแนวหยาบ เต็มไปด้วยความเพี้ยนจุดรอยต่อ จึงไม่มีการนำมาใช้งาน         วงจรคลาส A-B ที่พัฒนาต่อมา มีการจับคู่อุปกรณ์ แล้วทำการไบอัสกระแสน้อยๆ ที่อุปกรณ์ขยายให้พร้อมต่อการทำงาน ดังนั้นจึงเป็นวงจรที่ได้ทั้งกำลังขับและความเนียนละเอียดของเสียง          ในช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมา มีนักออกแบบหัวใสชาวอเมริกัน นาม บ็อบ คาร์เวอร์ ทำการออกแบบแอมป์ขยาย ในแบบสวิตชิ่งแอมป์ ที่มีการปรับการขยายออกเป็นสามระดับ เริ่มต้นแรงขยายต่ำ แรงขยายระดับกลาง และแรงขยายระดับสูง        ระบบ Switching Power Supply ของ บ็อบ คาร์เวอร์ เรียกว่า แมกเนติคฟีลด์  ถือเป็นแนวคิดเริ่มต้นที่สามารถออกแบบแอมป์ ขนาดกำลังขับ 200 วัตต์ มีวงจรเล็กที่วางไว้ในฝ่ามือได้         เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ต่อจากนั้นเป็นต้นมา ก็มีการพัฒนาไปสู่ดิจิตอลแอมป์ อาจกล่าวได้ว่า แอมป์ยุคหลัง มีการปรับปรุงให้แปลงพลังงานไฟฟ้าให้เป็นพลังเสียง อันมี คลาส D, คลาส G, คลาส H, คลาส T เป็นต้น           ซึ่งอุปกรณ์และวงจรด้านอิเล็กทรอนิกส์ มีการพัฒนาขึ้นมามาก ทำให้ใช้วงจรขนาดเล็กและมีน้ำหนักเบาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงมากกว่าเดิม           ยกตัวอย่าง เครื่องขยายคลาส D จะทำงานแบบลักษณะ Square wave ที่มีความกว้างที่เรียกว่า PWM (Pulse Width Modulation) ที่มีอัตราสูญเสียเป็นความร้อนน้อยลง              แรกสุดดิจิตอลแอมป์ ให้เสียงแบบ “หยาบคายร้ายกาจ” เหมือนดังที่นักวิจารณ์เครื่องเสียงต่างแสดงความไม่พึงพอใจคุณภาพเสียงเป็นอย่างมาก แต่การพัฒนามานานกว่า 40 ปี ดิจิตอลแอมป์ก็สามารถ ลดจุดบอดต่างๆ ของวงจรดั้งเดิมแบบอนาล็อกและให้คุณภาพเสียงที่ดียิ่งขึ้น จนเป็นที่ยอมรับในที่สุด           ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มีการพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีกว่าเสมอ ความชอบหรือไม่ชอบ เป็นเรื่องของการพิสูจน์คุณภาพ ของสิ่งที่คิดค้นใหม่ทั้งหลายกันให้กระจ่างแจ้ง            เราคงจำกันได้ว่า กล้องดิจิตอลที่ถูกคิดค้นมาใช้งานครั้งแรก ถูกต่อต้านขนาดไหน และปัจจุบันเป็นอย่างไร          สิ่งที่ยกตัวอย่างให้เห็นนั้น ผมอยากนำเสนอแนวคิดที่ว่า ทุกรูปแบบ ทุกวงจร ทุกๆ อย่างในระบบลำโพง ทั้งแบบท่อเปิด ท่อปิด ท่อออกหน้า ท่อออกหลัง การออกแบบล้วนเป็นความพยายามลดจุดบอด เสริมจุดเด่นทั้งสิ้น         เพียงแต่การเปิดใจรับนั้น เป็นเรื่องที่กำหนดลงไปไม่ได้ เพราะแม้ทุกสิ่งที่ดีในปัจจุบัน มันก็ยังมีจุดอ่อนที่ต้องปรับปรุงแก้ไขกันต่อไป เพื่อการเข้าถึงอุดมคติ หรือความเป็น High Fidelity         ในโลกใบนี้ กฏธรรมชาติ อธิบายความจริงให้เราเรียนรู้ว่า ไม่มีอะไรดีที่สุด ไม่มีอะไรแย่ที่สุด เพียงแต่อะไรที่เหมาะสมกับเรา ในแต่ละช่วงเวลา รวมถึงรสนิยมของแต่ละท่านจะตอบรับกับสิ่งใด กับเหตุผลที่อยู่ในใจของทุกท่าน  

The Light of Audiophile ตอนที่ 1 ประทีปแห่งออดิโอไฟล์

The Light of Audiophile ตอนที่ 1 ประทีปแห่งออดิโอไฟล์ เป็นคำถามที่น่าเครียดไหม อะไรคือเสียงดี? ผมอยากจะเขียนบทความแบ่งออกเป็นตอนๆ เกี่ยวกับเส้นทางสว่างที่เราจะเล่นเครื่องเสียงอย่างมีความสุข ซึ่งต้องเรียนเอาไว้ก่อนเป็นเบื้องต้นว่าเป็นหลักคิดส่วนตัวของผมเท่านั้น            ไม่ได้หมายความว่าท่านจะต้องยึดเป็นแบบอย่าง ถือว่านี่ เป็นการแชร์ประสบการณ์ต่อแฟนคลับทุกท่าน        คิดในทางที่ดีเอาไว้ก่อนคือเหมือนเราอยู่ในที่มืดและเรากำลังจะเริ่มเดินทาง มาช่วยกันจุดไฟแสงสว่าง ให้มีประกายมากพอเพียง ให้เป็นประทีปหลายดวง ที่จะนำพาเราไปสู่ความสุขของการเล่นเครื่องเสียง         และบทความของผมก็เปรียบเสมือนประทีปดวงเล็กๆ เท่านั้น ขอให้ช่วยกันขยายความความคิดต่อๆ ไปครับ          ถ้าจะกล่าวถึงเรื่องใด เห็นจะต้องเริ่มจากคำว่าเสียงดี นี่ละครับก่อนอื่น           ผมรับทราบปัญหาเกี่ยวกับเครื่องเสียงสารพัดคำถามทาง Messenger มากที่สุด และมากอย่างไม่น่าเชื่อว่า การเล่นเครื่องเสียง มันจะเต็มไปด้วยปัญหาอะไรมากมายขนาดนี้         เป็นมาตั้งแต่ยุคผมเขียนบทความ และเป็นบรรณาธิการบริหารนิตยสารเครื่องเสียง นับถึงวันนี้ก็ 40 ปี สู่ยุคโซเชียล อะไรๆ ที่มันน่าจะลดลงมาบ้างในปัญหาเครื่องเสียง แต่กลับมีปัญหาทวีคูณมากขึ้นด้วยซ้ำ         อย่างคำถามคลาสสิกที่ว่า เสียงที่ดีคืออย่างไร?  อะไรคือคำว่า เสียงดี จะตอบเป็นรูปธรรมแสนยากยิ่งนัก ต่อให้ทำสัมมนา นั่งฟังด้วยกัน ก็ยังจะหาคำตอบยากอยู่ดีละครับ            ผมว่าการที่มีสื่อโซเชียลมากขึ้น ก็มีข้อดีนะครับ ใครอยากจะหาข้อมูลก็สามารถเสิร์ชหาได้ มีเพจเครื่องเสียงมากมาย ให้พิจารณาวิเคราะห์ ทั้ง เว็บไซต์ เพจของนักเล่น กูรู ร้านค้า ค่อนข้างจะมากพอ         แต่ข้อเสียก็มีเช่นกัน คือ อ่านมาก ฟังมาก ก็มีโอกาสสับสน หลงทางได้มากเช่นเดียวกัน ถ้าไม่มีหลักยึด             หลักยึดที่ว่า คืออะไร ก็อยากให้เป็นข้อสังเกตเอาไว้สักเล็กน้อยครับว่า ถ้าจะเรียนรู้สิ่งใดนั้น คำว่าดี เสียงดีจะมีได้ก็ต่อเมื่อ  1. เริ่มต้นจากความรักชอบและประสบการณ์ตัวคุณเองเป็นหลัก  คือถ้าไม่รู้ว่าตัวเองชอบสิ่งใดแล้ว เราจะไปควานหาจากสิ่งที่ชอบของคนอื่นนั้น มันจะได้อย่างไรเล่า ผมจึงชอบกล่าวคำว่า “ค้นพบตัวเองก่อน ค้นพบเครื่องเสียง” เสมอ ถ้าค้นพบเครื่องเสียงแล้วไม่พบตัวเองก็เปล่าประโยชน์ครับ เครื่องเสียงที่ดีสำหรับพวกเราทุกคน มักจะเริ่มต้นด้วยรูปทรงดีไซน์สวยงาม เคียงคู่ไปกับ คุณภาพเสียงอันถูกใจทั้งสองประการ ไม่ใช่แค่เฉพาะสิ่งใดสิ่งหนึ่งเท่านั้น และการที่จะโฟกัสหาเสียงที่ดีนั้นต้องเริ่มต้นที่สไตล์เพลงของเรา และศิลปินคนโปรดของเราเท่านั้น            โปรดทบทวนความคิดดีๆ ว่า หลักๆ นั้น เราฟังเพลงสไตล์ใด ศิลปินคนโปรดคือใคร เมื่อจะต้องใช้เวลาพูดคุย สอบถามจากผู้อื่น ก็หาผู้ที่ชอบแบบเดียวกัน เข้าใจแบบเดียวกัน ก็จะได้สานต่อ ขยายความในสิ่งนั้นๆ อย่างเข้าใจได้มากยิ่งขึ้น         สนทนากับผู้ที่ไม่ได้รักชอบในสิ่งเดียวกับเราก็เป็นการสูญเสียเวลาเปล่า           และขอย้ำ ถึงหลักการที่ว่าสไตล์ความชื่นชอบและประสาทรับรู้ที่หูของเราย่อมเป็นหลักก่อนสิ่งอื่นเสมอ 2. ทางสายกลางแห่งการเรียนรู้ และแสวงหาประสบการณ์การฟังเครื่องเสียง  เมื่อพื้นหรือรากฐานข้อแรก ของคุณแน่น แนวทางปฏิบัติเป็นเส้นตรง มีความแน่วแน่ ก็จงเริ่มเดินทางสู่ประสบการณ์ฟังให้ได้มาก และช่ำชองที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้         เหมือนตั้งใจเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ที่มีโอกาสเลือก มีโอกาสทดลองได้มากที่สุด แต่ในขณะที่มีเป้าหมายชัดเจนในใจมาแล้วนั่นเอง จะได้ไม่เขวทิศทาง          เหมือนเดินเรือใน “ทะเลไฮไฟ” อาจจะมีทรัพย์สินในน้ำหลายหลากมากมาย ละลานตา ให้เลือกไขว่คว้า แต่ถ้าเข็มทิศ หรือเส้นทางคุณแม่น ก็จะไม่จมหายไปในทะเลนั้น จนกู่ไม่กลับ หรือไม่เลือกในสิ่งขัดแย้งกับความตั้งใจข้อแรกมา             หลักคิดง่ายๆ คือไม่ว่าอะไรก็ตาม ที่เกินไปจากทางสายกลาง ก็ให้ยับยั้งชั่งใจเสียหน่อยครับ ที่สำคัญ อย่าวิ่งหลงเข้าไปแต่เฉพาะที่ ผลการตอบสนองความถี่ ฟังความถี่ เล่นกับความถี่ และฟังเสียงความถี่ หรือระดับความดังมากขึ้นของความถี่ใดความถี่หนึ่งโดยเฉพาะ            ให้คำนึงว่า ถ้าต้นฉบับเพลงจากสตูดิโอที่พยายามบันทึก เสียงดนตรีให้เสมือนจริง เครื่องเสียงย่อมสมควรถ่ายทอดเสียงนั้นออกมาโดยเที่ยงตรงเสมือนจริงด้วย  และโดยส่วนใหญ่ผู้บันทึกเสียงจะรักษาเนื้อความของดนตรีให้เป็นไปตามที่ศิลปินและโปรดิวเซอร์ต้องการ        คือ Record มาดี  Playback ก็ควรจะดีตามต้นฉบับ ไม่ใช่มากกว่า หรือด้อยกว่า ต้นฉบับ    ระบบเครื่องเสียงทั้งซิสเต็ม ควรทำเสียงเหล่านั้น ออกมาให้สมบูรณ์แบบ สังเกตง่ายๆ มันจะเป็นความลงตัวมากกว่าโดดเด่นด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น          อะไรที่เกินพอดี แรกๆ คุณจะฟังสนุกตื่นใจ แต่จะฟังไม่ได้นาน ก็จะเริ่มเครียด และตามมาด้วยข้อตำหนิในใจมากมายและชัดเจนในที่สุดครับ 3. เลือกทุกสิ่งในขณะที่ใจผ่อนคลายเสมอ ต้องมีเวลาอย่างพอเพียง ไม่ใช่เคร่งเครียด มุมานะจนเกินงาม หรือเร่งร้อน            วิถีชีวิตในปัจจุบันทำให้เราทุกคนมักจะเร่งร้อนในการเดินไปข้างหน้าและมักไม่ทบทวนอดีตในสิ่งที่เราผิดพลาดด้วย            สิ่งเหล่านี้แหละที่ติดตัวเรามาจนกระทั่ง กลายเป็นพฤติกรรมในการเลือกซื้อเครื่องเสียงด้วย เอาเร็ว เอาไวเข้าว่า          บางคนถึงขนาดซื้อเครื่องเสียงโดยอนุมานเอาจากความนิยมในสื่อโซเชียล และมักจะเป็นผู้ที่บ่นว่าไม่ค่อยมีเวลามาฟังจริงเพื่อเลือกเครื่องเสียง         คือถ้าคุณไม่มีเวลา แล้วใครจะมีเวลาให้คุณ แล้วคุณจะเลือกสิ่งที่ถูกต้องได้อย่างไร            การเล่นเครื่องเสียงก็ไม่ใช่การที่จะเอาชนะอะไรซักอย่างหนึ่ง เหมือนเกมกีฬาที่ต้องต่อสู้กับใคร แต่สิ่งที่ต้องต่อสู้ก็คือความรู้สึกที่ถูกต้องของตัวเองเท่านั้น            การทดลองฟังเครื่องเสียง การหาประสบการณ์จากร้านค้า จะเป็นบ้านเพื่อน หรือสถานที่ใดที่หนึ่ง แม้แต่งานแสดงเครื่องเสียง ต้องระลึกเสมอว่าการฟังเครื่องเสียง จะรับรู้ได้ถึงขนาด ตรงต้องกับใจหรือไม่นั้น ในแต่ละครั้ง ต้องมีระยะเวลาการฟังที่ยาวนานพอเพียงไม่ใช่แค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว          คือมันต้องมีระยะเวลาที่มากพอที่เรามั่นใจได้ว่าเครื่องเสียงชุดนี้ลำโพงคู่นั้น จะอยู่กับเราได้นาน แสนนานเช่นเดียวกัน “เวลา” จึงสำคัญที่สุด         ถ้าแม้นปราศจากความชำนาญในการฟังมากเท่าไหร่ ก็สมควรที่จะใช้เวลาในการฟังมากยิ่งขึ้นเท่านั้น           เวลาและจำนวนครั้งที่ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกกับบทเพลงที่คุ้นเคย และเป็นสไตล์ที่ชื่นชอบ อาจจะช่วยเราพิจารณาได้ว่าเครื่องเสียงหรือลำโพงชุดนั้นๆ จะคงอยู่กับการฟังเพลงของเราได้อย่างยาวนาน         โปรดหยุดคิด สักพักหนึ่ง แล้วติดตามต่อในตอนที่สอง ถัดไปครับ