หมดยุคสมัยของกังฟู???                                                                by: Tawatchai Meng

เมื่อสิบเอ็ดปีก่อน (2008) ได้ชมยิปมัน (叶问)ภาคแรก (สมัยนั้น เด็กรุ่นใหม่เรียก I-P Man ตามชื่อภาษาอังกฤษ Ip Man ฟังดูเหมือนหนังฮีโร่ยุคใหม่) แล้วรู้สึกประทับใจทั้งในตัวบทภาพยนตร์เองและตัวผู้แสดง-ดอนนี เยน (甄子丹)ที่แสดงได้ถึงบทบาทและสามารถถ่ายทอดจิตวิญญาณความเป็นปรมาจารย์หยิปหมั่น (สำเนียงกวางตุ้ง) หรือ เย่เวิ่น (สำเนียงจีนกลาง) ได้ออกมาอย่างมีชีวิตชีวา

หลังจากนั้นอีก 2 ปี (2010) ยิปมัน ภาค 2 ออกฉาย เลยไม่ลังเลที่จะดู คราวนี้เริ่มรู้สึกผิดหวังกับบทภาพยนตร์ และก็ไม่ได้ติดตามในภาคที่ 3 อีก จนเมื่อสิ้นปี 2019 ภาค 4 ออกฉายและประกาศว่าเป็นภาคสุดท้าย (The Finale) และจะเป็นภาพยนตร์กังฟูเรื่องสุดท้ายของเดนนี เยน นั่นหมายความว่า จากนี้ไปจะไม่รับบทบู๊อีก

สำหรับบทภาพยนตร์ในภาค 4 นั้นก็ง่าย ๆ เป็นการเดินทางไปไชน่าทาวน์ในอเมริกาของยิปมัน เพื่อเยี่ยมและทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่โน่น เนื่องจากลูกศิษย์-บรู๊ซ ลี ไปเปิดโรงเรียนสอนกังฟูที่โน่นแล้วมีเรื่องกับเจ้าถิ่น สรุปเนื้อหาย่อๆโดยสาระสำคัญคงได้แค่นี้ สำหรับเสียงสะท้อนจากภาพยนตร์เรื่องนี้ออกไปในทางลบเสียส่วนใหญ่ แม้แต่รายได้(ที่รายงานว่าทำลายสถิติในหลายประเทศ)ก็ยังมีคนตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการ make ขึ้นมา

เลยเกิดข้อกังขาว่า ภาพยนตร์กังฟูถึงทางตันแล้วหรือ คนรุ่นใหม่ไม่นิยมดูแล้วใช่หรือไม่

ภาพยนตร์กังฟูเริ่มต้นจาก “ไอ้หนุ่มซินตึ๊ง (唐山大兄)” ในปี 1971 ที่เข้าฉายไม่เกิน 3 อาทิตย์ก็ทำลายสถิติรายได้ทุกแห่งในอาเซียน และภาพยนตร์เรื่องต่อๆมาของบรู๊ซ ลี ก็ทุบสถิติเรื่องก่อนของตัวเองทุกเรื่อง แต่ทำไมถึงยุคของ “ยิปมัน” กลับกลายความขลังไปอย่างไม่น่าเชื่อ

หากดูจากบทภาพยนตร์ของหนังกังฟูแล้ว พล็อตที่ถือเป็นพล็อตมาตรฐานนับตั้งแต่”ไอ้หนุ่มซินตึ๊ง”ถึง“ยิปมัน”คือ ลีลาหมัดมวยที่สวยงาม หน้าประวัติศาสตร์ที่ลบหลู่ชาวจีน และสุดท้ายคือ คู่ต่อสู้ชาวต่างชาติที่ถูกต่อยจนแพ้ยับ อย่างยิปมัน ก็วนเวียนอยู่กับการชกต่อยกับคู่ต่อสู้ เริ่มจากคู่ต่อสู้ญี่ปุ่น อังกฤษ และภาค 4 ก็คู่ต่อสู้ชาวอเมริกา จากผิวเหลือ ผิวขวาจนผิวดำ นั่นมันเป็นอารมณ์ของผู้ชมในยุคโน้น แต่เด็กรุ่นใหม่ไม่รับมุขนี้เสียแล้ว

ส่วนยิปมันนั้น ยิ่งสร้างบทบู๊ยิ่งดุเดือด ส่วนบทภาพยนตร์ยิ่งสร้างยิ่งอ่อน!!!

 คำถามว่า ดอนนี เยน จะรับบทบู๊ในยิปมัน 4 นี้เป็นเรื่องสุดท้ายจริงหรือ หรือเป็นเพียงการเรียกเรตติ้งเหมือนกับหนังไทยที่มักเอาข่าวเรื่องบนเตียงมาตีข่าวก่อนหนังเข้า ความจริงเดนนี เยน ก็พยายามเปลี่ยนบทบาทของตัวเองมาระยะหนึ่งแล้ว อย่าง Chasing the Dragon, Big Brother เป็นต้น แต่ก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ เพราะเวลาแฟน ๆ คิดถึงเดนนี เยน เมื่อไหร่ แว๊บแรกที่จะต้องคิดถึงคือ “ยิปมัน” ไม่ได้คิดถึงบทบาทอื่นของเขาเลย สุดท้ายเขาเลยต้องหันกลับมาเล่น “ยิปมัน 4” จนได้

ต่อข้อสงสัยว่า หนังกังฟูถึงทางตันแล้วจริงหรือ ถ้าหมายถึงหนังกังฟูแบบดั้งเดิมดังนิยามที่กล่าวข้างต้นก็น่าจะใช่ แต่วัฒนธรรมกังฟูจะยังคงพัฒนาต่อไป และภาพยนตร์เองก็ต้องพัฒนาตาม ในอดีตที่ผ่านมา เราก็ได้เห็นภาพยนตร์กังฟูที่ฉีกกฎเดิม ๆ ที่ตัวเอกผู้มีวิทยายุทธสูงจะต้องหน้าเคร่งขรึม ทุกอย่างต้องทุ่มเทกับยุทธภพ เปลี่ยนมาเป็นบุคคลที่มีความคิดอิสระ เคารพความคิดเห็นความต้องการของคนอื่นอย่างภาพยนตร์ของอังลี เรื่อง Crouching Tiger, Hidden Dragon เช่นเดียวกับภาพยนตร์ของจางยี่โหมว เรื่อง “Hero” ที่กล้าคิดในสิ่งที่สวนกับความรู้สึกของคนส่วนใหญ่

ดังนั้น คงสรุปได้ว่า “กังฟู” แบบเดิมๆที่เน้นการชกต่อยคงหมดยุคแล้ว ส่วนจิตวิญญาณและวัตฒนธรรมกังฟูจะยังคงธำรงอยู่ต่อไป เพียงแต่เปลี่ยนแปลงให้เข้ากับวิถีชีวิตแห่งยุคสมัยมากยิ่งขึ้น

ภาพจากอินเทอร์เน็ต

ที่มา Chaophraya Forum

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here